ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกในวันศุกร์ (14 มี.ค.) นำโดยหุ้นกลุ่มกลาโหมและเหมืองแร่ แม้ความกังวลเรื่องภาษีสหรัฐฯ กดดันตลาดตลอดทั้งสัปดาห์ก็ตาม
ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดที่ 8,632.33 จุด เพิ่มขึ้น 89.77 จุด หรือ +1.05% ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดในรอบกว่า 1 เดือน
อย่างไรก็ตาม ดัชนียังคงปิดลบในรอบสัปดาห์นี้จากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ และผลประกอบการรายไตรมาสที่อ่อนแอ
หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมการบินและกลาโหมพุ่งขึ้น 3.8% นำโดยข่าวที่อังกฤษประกาศเพิ่มงบปล่อยกู้ 2 พันล้านปอนด์ให้ประเทศอื่นซื้ออาวุธและเครื่องบินของอังกฤษ
เมลโรส อินดัสทรีส์ (Melrose Industries) เป็นหุ้นที่ทำผลงานดีที่สุดใน FTSE 100 โดยพุ่งขึ้น 6.4%
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ทั้งกลุ่มโลหะมีค่าและโลหะอุตสาหกรรม เพิ่มขึ้น 1.8% และ 2.3% ตามลำดับ หลังจากราคาทองคำพุ่งทะลุ 3,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์เป็นครั้งแรก ท่ามกลางแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย
ด้านปัจจัยเศรษฐกิจนั้น เศรษฐกิจอังกฤษหดตัวอย่างไม่คาดคิดในเดือนม.ค. โดย GDP ลดลง 0.1% ขณะที่นักวิเคราะห์จากรอยเตอร์คาดการณ์ไว้ว่าอาจจะขยายตัว 0.1%
นักเศรษฐศาสตร์จากแพนธีออน แมกโครอีโคโนมิคส์ (Pantheon Macroeconomics) เตือนว่า หากทรัมป์เดินหน้าขึ้นภาษีต่อไป โอกาสที่เศรษฐกิจอังกฤษจะชะลอตัวช่วงกลางปีนี้จะเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะหากอังกฤษถูกดึงเข้าสู่สงครามภาษีตอบโต้
ผลสำรวจจากธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) บ่งชี้ว่า การคาดการณ์เงินเฟ้อในระยะยาวของอังกฤษแตะระดับสูงสุดในรอบ 5 ปีในเดือนก.พ.
สำหรับหุ้นรายตัวนั้น หุ้นเฮย์ส (Hays) บริษัทจัดหางานของอังกฤษ พุ่งขึ้น 12.3% ปิดที่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค. 2567
ส่วนปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามได้แก่ การประชุมกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในสัปดาห์หน้า