ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดทะยานกว่า 300 จุด นำโดยหุ้นของบริษัทโบอิ้ง
ณ เวลา 22.56 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 41,905.78 จุด บวก 324.47 จุด หรือ 0.78%
ราคาหุ้นของบริษัทโบอิ้งพุ่งขึ้นกว่า 6% ในการซื้อขายที่ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทวันนี้ ขณะที่นักลงทุนเพิ่มความเชื่อมั่นต่อสถานะทางการเงินของบริษัท หลังการกล่าวถ้อยแถลงของนายไบรอัน เวสต์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของบริษัทโบอิ้ง
นายเวสต์กล่าวว่า การเผาเงินทุน (cash burn) ของบริษัทได้ลดลงในไตรมาสนี้ ขณะที่การผลิตเครื่องบินได้เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ การเผาเงินทุนเป็นค่าใช้จ่ายก่อนที่บริษัทจะมีกระแสเงินสดเป็นบวกจากการดำเนินงาน โดยตัวเลขดังกล่าวเป็นมาตรวัดสำหรับนักลงทุนในการประเมินว่าบริษัทจะใช้เวลานานเพียงใดก่อนที่จะมีกำไร
"เราคิดว่าเรามีการเริ่มต้นที่ดีในปีนี้ โดยตัวเลขการเผาเงินทุนอาจจะเหลือเพียงไม่กี่ร้อยล้านดอลลาร์" นายเวสต์กล่าว และเสริมว่าบริษัทไม่มีความกังวลเกี่ยวกับมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยผลกระทบใด ๆ จะขึ้นอยู่กับว่าความไม่แน่นอนดังกล่าวจะมีระยะเวลานานเท่าใด
เมื่อเดือนม.ค.ที่ผ่านมา บริษัทโบอิ้งเปิดเผยว่า บริษัทประสบภาวะขาดทุนในไตรมาส 4/2567 สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ขณะที่มีรายได้น้อยกว่าคาด
ทั้งนี้ โบอิ้งเปิดเผยว่า บริษัทมีตัวเลขขาดทุน 5.90 ดอลลาร์/หุ้น สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 2.65 ดอลลาร์/หุ้น
นอกจากนี้ บริษัทมีรายได้ 1.524 หมื่นล้านดอลลาร์ ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.621 หมื่นล้านดอลลาร์
โบอิ้งประสบภาวะขาดทุนติดต่อกันเป็นปีที่ 6 โดยครั้งล่าสุดที่บริษัทมีกำไรได้เกิดขึ้นในปี 2561 แต่หลังจากนั้น ผลประกอบการของบริษัทก็ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์เครื่องบินโบอิ้ง 737 Max ตกถึง 2 ครั้ง, การแพร่ระบาดของโควิด-19, การตรวจพบความบกพร่องในการผลิตเครื่องบิน, ค่าใช้จ่ายที่พุ่งขึ้น รวมทั้งเหตุการณ์ล่าสุดในต้นปี 2567 ซึ่งประตูเครื่องบินโบอิ้ง Max 9 jetliner ได้เปิดออกกลางอากาศขณะบินขึ้นจากสนามบินเมืองพอร์ทแลนด์ รัฐโอเรกอน
นักลงทุนจับตาผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในคืนนี้ โดยคาดว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมรอบนี้
นอกจากนี้ ตลาดจับตาถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด หลังเสร็จสิ้นการประชุม เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟดในปีนี้ รวมทั้งจับตารายงานคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) ของเจ้าหน้าที่เฟด และตัวเลขประมาณการเศรษฐกิจสหรัฐ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) อัตราว่างงาน และอัตราเงินเฟ้อ
ในการประชุมเดือนธ.ค.2567 รายงาน Dot Plot บ่งชี้ว่า เจ้าหน้าที่เฟดส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้ง ครั้งละ 0.25% รวม 0.50% ในปี 2568 จากเดิมที่ส่งสัญญาณในเดือนก.ย.2567 ว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย 4 ครั้ง ครั้งละ 0.25% รวม 1.00% ในปี 2568
ล่าสุด นักลงทุนคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้ โดยจะเกิดขึ้นในเดือนมิ.ย.และก.ย.
FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 99.0% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 4.25-4.50% ในการประชุมวันที่ 19 มี.ค.
นอกจากนี้ นักลงทุนคาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.00-4.25% ในการประชุมเดือนมิ.ย. และปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 3.75-4.00% ในการประชุมเดือนก.ย. ก่อนที่จะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับดังกล่าวจนสิ้นปี 2568