ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดทะยานกว่า 500 จุด ขานรับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ ส่งสัญญาณใช้ความยืดหยุ่นต่อแผนการเรียกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (reciprocal tariff) ทำให้นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับการทำสงครามการค้าอย่างเต็มรูปแบบของสหรัฐ
นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งระบุว่านโยบายภาษีของปธน.ทรัมป์จะส่งผลกระทบเพียงชั่วคราวเท่านั้น
ณ เวลา 22.00 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 42,517.27 จุด บวก 531.92 จุด หรือ 1.27%
สื่อรายงานว่า มาตรการภาษีที่ปธน.ทรัมป์จะประกาศใช้ในวันที่ 2 เม.ย. จะเป็นการประกาศใช้แบบเฉพาะเจาะจง โดยจะมีการยกเว้นภาษีสำหรับบางภาคอุตสาหกรรม รวมทั้งยกเว้นภาษีสำหรับบางประเทศ
นอกจากนี้ ปธน.ทรัมป์กล่าวว่า เขามีแผนที่จะพูดคุยกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน หลังจากที่จีนประกาศเรียกเก็บภาษีต่อสินค้าเกษตรของสหรัฐเพื่อตอบโต้ต่อการที่สหรัฐเรียกเก็บภาษีต่อสินค้าจีน
ก่อนหน้านี้ ปธน.ทรัมป์กล่าวว่า วันที่ 2 เม.ย.จะเป็นวันแห่งการปลดปล่อยสำหรับอเมริกา (Liberation Day) เนื่องจากเป็นวันที่สหรัฐจะเรียกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (reciprocal tariff) ต่อสินค้าที่นำเข้าจากทุกประเทศที่เรียกเก็บภาษีต่อสินค้าสหรัฐ และแม้ว่าบางประเทศไม่ได้เรียกเก็บภาษีศุลกากรต่อสินค้าสหรัฐ แต่ได้มีการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ประเทศดังกล่าวก็จะถูกสหรัฐเรียกเก็บภาษีตอบโต้เช่นกัน
เอสแอนด์พี โกลบอลเปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและภาคบริการเบื้องต้นของสหรัฐ ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 53.5 ในเดือนมี.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 3 เดือน จากระดับ 51.6 ในเดือนก.พ.
ดัชนี PMI ยังคงอยู่เหนือระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้การขยายตัวของภาคธุรกิจสหรัฐ โดยได้รับแรงหนุนจากการขยายตัวของภาคบริการ แต่ถูกกดดันจากการหดตัวของภาคการผลิต
ทั้งนี้ คำสั่งซื้อใหม่และการจ้างงานดีดตัวขึ้น ขณะที่ความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจร่วงลง ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของนโยบายรัฐบาลสหรัฐ
ดัชนี PMI ภาคการผลิตเบื้องต้น ปรับตัวลงสู่ระดับ 49.8 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือน จากระดับ 52.7 ในเดือนก.พ. โดยดัชนี PMI อยู่ต่ำกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ภาวะหดตัวของภาคการผลิต
ส่วนดัชนี PMI ภาคบริการเบื้องต้น ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 54.3 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 3 เดือน จากระดับ 51.0 ในเดือนก.พ. โดยดัชนี PMI อยู่สูงกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ว่าภาคบริการอยู่ในภาวะขยายตัว
นักลงทุนจับตาดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ที่จะมีการเปิดเผยในวันศุกร์ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ
ทั้งนี้ ดัชนี PCE เป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญ เนื่องจากสามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภค และครอบคลุมราคาสินค้าและบริการในวงกว้างมากกว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)