ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบติดต่อกันเป็นวันที่สองในวันพฤหัสบดี (27 มี.ค.) โดยตลาดยังคงถูกกดดันจากการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์ ซึ่งได้ฉุดหุ้นกลุ่มบริษัทผลิตรถยนต์ร่วงลงอย่างหนัก
ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 42,299.70 จุด ลดลง 155.09 จุด หรือ -0.37%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,693.31 จุด ลดลง 18.89 จุด หรือ -0.33% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 17,804.03 จุด ลดลง 94.98 จุด หรือ -0.53%
บรรยากาศการซื้อขายในตลาดได้รับผลกระทบจากการที่ปธน.ทรัมป์ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเมื่อวันพุธที่ 26 มี.ค. เพื่อเรียกเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์และรถบรรทุกขนาดเล็กในอัตรา 25% จากเดิมที่ระดับ 2.5% โดยจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 2 เม.ย. ส่วนการเรียกเก็บภาษีชิ้นส่วนรถยนต์จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 3 เม.ย. โดยปธน.ทรัมป์คาดหวังว่ามาตรการดังกล่าวจะทำให้บริษัทรถยนต์ย้ายฐานการผลิตกลับมายังสหรัฐฯ ซึ่งจะช่วยสร้างงาน และสร้างรายได้ให้กับรัฐบาล รวมทั้งช่วยลดหนี้สาธารณะของประเทศ
นอกจากนี้ นักลงทุนยังวิตกกังวลเกี่ยวกับการที่ปธน.ทรัมป์เตรียมใช้มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ในวันพุธที่ 2 เม.ย. แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาได้ส่งสัญญาณว่าจะใช้ความยืดหยุ่นในการใช้มาตรการภาษีก็ตาม
นโยบายการค้าที่เปลี่ยนแปลงไปมาของรัฐบาลทรัมป์ได้สร้างความไม่แน่นอนให้กับตลาดหุ้นนิวยอร์ก ขณะเดียวกันนักลงทุนกังวลว่ามาตรการภาษีศุลกากรจะทำให้ห่วงโซ่อุปทานตกอยู่ในภาวะชะงักงัน เป็นอุปสรรคต่อการลงทุน และมีความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดเงินเฟ้อและส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก
ดัชนี S&P500 และ Nasdaq มีแนวโน้มปิดฉากไตรมาส 1/2568 ในแดนลบ โดยนับตั้งแต่ต้นปี 2568 ดัชนี S&P500 ร่วงลงประมาณ 3% และดัชนี Nasdaq ดิ่งลงเกือบ 8%
หุ้นบริษัทผลิตรถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ร่วงลงอย่างหนัก โดยหุ้นเจเนอรัล มอเตอร์ (GM) ดิ่งลง 7.3% หุ้นสเตลแลนทิส (Stellantis) ร่วงลง 4.23% หุ้นฟอร์ด มอเตอร์ (Ford Motor) ร่วงลง 3.9% ส่วนหุ้นแอปทิฟ (Aptiv) และหุ้นบอร์จวอร์เนอร์ (BorgWarner) ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ ร่วงลง 5.4% และ 4.7% ตามลำดับ
หุ้นเทสลา (Tesla) ดีดตัวขึ้น 0.4% โดยได้แรงหนุนจากการที่นักลงทุนคาดว่าบริษัทเทสลาจะได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีศุลกากรไม่มากนัก เนื่องจากการผลิตส่วนใหญ่ของเทสลาอยู่ในสหรัฐฯ
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการรายงานเมื่อคืนนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ลดลง 1,000 ราย สู่ระดับ 224,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 226,000 ราย
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งที่ 3 สำหรับผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 4/2567 โดยระบุว่า GDP ขยายตัว 2.4% สูงกว่าตัวเลขประมาณการครั้งที่ 1 และ 2 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 2.3% โดยได้แรงหนุนจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่พุ่งขึ้น 4% ในไตรมาสดังกล่าว
สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐฯ (NAR) เปิดเผยว่า ดัชนีการทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) เพิ่มขึ้น 2.0% ในเดือนก.พ. เมื่อเทียบรายเดือน สู่ระดับ 72.0 ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าเพิ่มขึ้นเพียง 1.0%
นักลงทุนจับตาการเปิดเผยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ของสหรัฐฯ ในวันนี้ โดยดัชนี PCE เป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่เฟดให้ความสำคัญ เนื่องจากสามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภค และครอบคลุมราคาสินค้าและบริการในวงกว้างมากกว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)