ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลบเล็กน้อยในวันศุกร์ (28 มี.ค.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงระมัดระวังในการซื้อขายจากความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจทั่วโลกที่อาจรุนแรงขึ้นจากสงครามการค้าและมาตรการภาษีของสหรัฐฯ
ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดที่ 8,658.85 จุด ลดลง 7.27 จุด หรือ -0.08%
แต่ดัชนี FTSE 100 เพิ่มขึ้น 0.2% ในรอบสัปดาห์นี้ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่สอง
นักลงทุนมีความกังวลเพิ่มขึ้นเมื่อข้อมูลเงินเฟ้อของสหรัฐฯ บ่งชี้ว่า ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคลพื้นฐาน (Core PCE) เพิ่มขึ้นในอัตราสูงสุดในรอบ 13 เดือน ซึ่งอาจทำให้มาตรการภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ยิ่งเป็นปัจจัยเร่งเงินเฟ้อ
ขณะนี้ตลาดกำลังจับตาดูมาตรการภาษีรอบใหม่ของสหรัฐฯ ที่มีกำหนดประกาศในวันที่ 2 เม.ย.นี้ โดยทรัมป์ส่งสัญญาณว่าอาจไม่ใช่ภาษีตอบโต้ที่เท่าเทียมกันแบบที่เคยประกาศไว้ก่อนหน้านี้
หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมการบินและกลาโหมร่วงลง 2.5% โดยหุ้น Rolls-Royce, BAE Systems และ Melrose Industries ร่วงลงมากที่สุดในดัชนี FTSE 100 โดยปรับตัวลงระหว่าง 1.3%-4.6%
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ร่วงลง 2.2% เนื่องจากราคาทองแดงปรับตัวลง ท่ามกลางบรรยากาศการลงทุนที่ไม่แน่นอน ก่อนถึงกำหนดเส้นตายมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ในสัปดาห์หน้า
ในด้านข้อมูลเศรษฐกิจ สำนักงานสถิติแห่งชาติของอังกฤษรายงานว่า ยอดค้าปลีกในเดือน ก.พ. เพิ่มขึ้นอย่างไม่คาดคิด ซึ่งตรงข้ามกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่มองว่ายอดค้าปลีกอาจลดลง เนื่องจากเศรษฐกิจโดยรวมยังคงเติบโตอย่างอ่อนแอ
แม้ว่ายอดค้าปลีกจะยังต่ำกว่าระดับก่อนการระบาดของโรคโควิด-19 แต่การฟื้นตัวครั้งนี้ถือเป็นข่าวดีสำหรับราเชล รีฟส์ รมว.คลังของอังกฤษซึ่งกำลังพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจ ท่ามกลางปัญหาการเติบโตที่ซบเซานับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือนก.ค.ปีที่แล้ว