ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ทรุดตัวลงเกือบ 1,000 จุด ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการปรับขึ้นภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ ซึ่งจะทำให้เงินเฟ้อพุ่งขึ้น และฉุดเศรษฐกิจโลกให้ประสบภาวะถดถอย
ณ เวลา 19.59 น.ตามเวลาไทย ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ลบ 991 จุด หรือ 2.57% สู่ระดับ 37,539 จุด
ทั้งนี้ ปธน.ทรัมป์ประกาศใช้มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (reciprocal tariff) และภาษีศุลกากรพื้นฐาน (baseline tariff) เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยภาษีศุลกากรตอบโต้จะแตกต่างกันไปเป็นรายประเทศ นับตั้งแต่ 10-49% โดยขึ้นอยู่กับการตั้งกำแพงภาษีและมาตรการที่ไม่ใช่ภาษีของประเทศนั้น ๆ ที่มีต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐ และจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 9 เม.ย. ส่วนภาษีศุลกากรพื้นฐานอยู่ที่ระดับ 10% เท่ากันทุกประเทศ และมีผลบังคับใช้ในวันที่ 5 เม.ย.
รัฐบาลจีนประกาศเรียกเก็บภาษี 34% ต่อสินค้านำเข้าทั้งหมดที่มาจากสหรัฐ โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 10 เม.ย. โดยจีนออกมาตรการดังกล่าวเพื่อตอบโต้ต่อการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เรียกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ในอัตรา 34% ต่อสินค้าที่นำเข้าจากจีน ซึ่งเมื่อรวมกับมาตรการเรียกเก็บภาษีที่สหรัฐบังคับใช้กับจีนอยู่แล้วที่ระดับ 20% จะทำให้จีนต้องเผชิญกับอัตราภาษีรวมจากสหรัฐสูงถึง 54%
ทางด้านสหภาพยุโรป (EU) ขู่ตอบโต้สหรัฐเช่นกัน หากการเจรจาเพื่อลดอัตราภาษีประสบความล้มเหลว
นายเจมี ไดมอน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเจพีมอร์แกน เชส ซึ่งเป็นธนาคารขนาดใหญ่ที่สุดของสหรัฐเมื่อพิจารณาจากมูลค่าสินทรัพย์ ระบุเตือนว่า มาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ เมื่อสัปดาห์ที่แล้วจะกระตุ้นราคาสินค้าทั้งภายในประเทศของสหรัฐและสินค้าที่มีการนำเข้า รวมทั้งฉุดเศรษฐกิจสหรัฐ ซึ่งได้ชะลอตัวอยู่แล้วในขณะนี้
"ไม่ว่าคุณจะหาเหตุผลที่ชอบธรรมตามกฎหมายในการขึ้นภาษีศุลกากรที่เพิ่งประกาศออกไป แต่ภาษีนี้จะส่งผลกระทบในระยะยาวทั้งดีและไม่ดี รวมทั้งจะมีผลกระทบที่สำคัญในระยะสั้น"
"เรามีแนวโน้มที่จะเห็นผลกระทบด้านเงินเฟ้อ ไม่เพียงแต่จากสินค้านำเข้า แต่มีผลกับราคาสินค้าในประเทศเช่นกัน เนื่องจากได้รับผลกระทบจากต้นทุนที่สูงขึ้น และอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นต่อผลิตภัณฑ์ภายในประเทศ"
"ส่วนการที่มาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรจะทำให้เศรษฐกิจถดถอยหรือไม่นั้น เราคงต้องดูกันต่อไป แต่มาตรการภาษีนี้จะชะลอการเติบโตทางเศรษฐกิจ" นายไดมอนระบุในจดหมายประจำปีถึงผู้ถือหุ้นของธนาคาร
ทั้งนี้ นายไดมอนนับเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารรายแรกของธนาคารในวอลล์สตรีทที่ได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์อย่างเปิดเผยต่อมาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรของปธน.ทรัมป์ หลังจากที่มาตรการดังกล่าวส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกดิ่งลง และทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐทรุดตัวลงในสัปดาห์ที่แล้วมากที่สุดนับตั้งแต่การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปี 2563