ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงติดต่อกันเป็นวันที่ 3 ในวันจันทร์ (7 เม.ย.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลว่ามาตรการภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ จะส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัวลงและทำให้เงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น โดยล่าสุดปธน.ทรัมป์ขู่ว่าจะเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มอีก 50% หากจีนไม่ยกเลิกการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ
ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 37,965.60 จุด ลดลง 349.26 จุด หรือ -0.91%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,062.25 จุด ลดลง 11.83 จุด หรือ -0.23% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,603.26 จุด เพิ่มขึ้น 15.48 จุด หรือ +0.10%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กร่วงอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ปธน.ทรัมป์ประกาศใช้มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) และภาษีศุลกากรพื้นฐาน (Baseline Tariff) เมื่อวันพุธที่ 2 เม.ย. โดยภาษีศุลกากรตอบโต้จะแตกต่างกันไปเป็นรายประเทศ นับตั้งแต่ 10-49% โดยขึ้นอยู่กับการตั้งกำแพงภาษีและมาตรการที่ไม่ใช่ภาษีของประเทศนั้น ๆ ที่มีต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐ และจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 9 เม.ย. ส่วนภาษีศุลกากรพื้นฐานอยู่ที่ระดับ 10% เท่ากันทุกประเทศ และมีผลบังคับใช้ในวันที่ 5 เม.ย.
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างผันผวนเมื่อคืนนี้ โดยในระหว่างวัน ดัชนีดาวโจนส์ และ S&P500 ดีดตัวขึ้นสู่แดนบวก หลังจากมีข่าวว่าปธน.ทรัมป์กำลังพิจารณาระงับการบังคับใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ออกไปอีก 90 วัน แต่หลังจากนั้นไม่นานทำเนียบขาวได้ออกมาปฏิเสธข่าวดังกล่าว ซึ่งส่งผลดัชนีร่วงลงสู่แดนลบ
ตลาดได้รับแรงกดดันมากขึ้นหลังจากปธน.ทรัมป์ประกาศว่า เขาจะให้เวลารัฐบาลจีนจนถึงวันอังคารที่ 8 เม.ย.ในการยกเลิกมาตรการเรียกเก็บภาษี 34% ต่อสินค้าที่นำเข้าจากสหรัฐฯ มิฉะนั้นจีนจะถูกสหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมอีก 50%
ในระหว่างวัน ดัชนี CBOE Volatility Index (VIX) ซึ่งเป็นมาตรวัดความวิตกของนักลงทุนในตลาดหุ้นนิวยอร์ก พุ่งขึ้นทะลุระดับ 60 ก่อนที่ดัชนีจะลดช่วงลบ และปิดที่ระดับ 46.98 แต่ก็ถือเป็นระดับปิดสูงสุดในรอบ 5 ปี
เจมี ไดมอน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของธนาคารเจพีมอร์แกนเตือนว่า มาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรของปธน.ทรัมป์จะส่งผลให้ราคาสินค้าทั้งภายในประเทศของสหรัฐฯ และสินค้าที่มีการนำเข้า ปรับตัวสูงขึ้น อีกทั้งจะฉุดเศรษฐกิจสหรัฐฯ ให้ชะลอตัวลงอีก
หุ้น 9 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนลบ นำโดยหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ร่วงลง 2.40% ตามด้วยหุ้นกลุ่มวัสดุร่วงลง 1.65% ส่วนหุ้นกลุ่มบริการด้านการสื่อสารดีดตัวขึ้น 1.03% ตามด้วยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวขึ้น 0.32%
สำหรับหุ้นรายตัวนั้น หุ้นแอปเปิ้ล (Apple) ร่วงลง 3.7% หุ้นเทสลา (Tesla) ร่วงลง 2.6% ขณะที่หุ้นอินวิเดีย (Nvidia) ดีดตัวขึ้นกว่า 3% และหุ้นอะเมซอนดอทคอม (Amazon.com) บวก 2.5%
นักลงทุนจับตาการแสดงความเห็นของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) และข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนมี.ค., ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนมี.ค., ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคขั้นต้นเดือนเม.ย.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์