ตลาดหุ้นลอนดอนปิดร่วงลงอย่างหนักในวันจันทร์ (7 เม.ย.) โดยเผชิญแรงเทขายต่อเนื่องจากสัปดาห์ก่อน หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ขู่จะเก็บภาษีสินค้าจากจีนเพิ่มอีก 50% ซึ่งยิ่งทวีความรุนแรงของสงครามการค้าระหว่างสองมหาอำนาจเศรษฐกิจของโลก
ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดที่ 7,702.08 จุด ลดลง 352.90 จุด หรือ -4.38%
ดัชนี FTSE 100 ร่วงลงปิดที่ระดับต่ำสุดในรอบกว่า 1 ปี และร่วงลงรวมแล้วมากกว่า 10% จากระดับก่อนวันพฤหัสฯ ที่ผ่านมา ซึ่งสอดคล้องกับแรงเทขายในตลาดหุ้นทั่วโลก
หุ้น 95 จาก 100 ตัวในดัชนี FTSE 100 ปิดลบ โดยกลุ่มบริษัทยาและไบโอเทคโนโลยีร่วงหนักที่สุด โดยเฉพาะหุ้น แอสตร้าเซนเนก้า (AstraZeneca) ซึ่งเป็นหุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มนี้ ร่วงลงเกือบ 7%
หุ้นกลุ่มพลังงานของอังกฤษร่วงลง 4.8% ตามราคาน้ำมันที่ปรับตัวลงกว่า 1% แตะระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 4 ปี โดยหุ้นเชลล์ (Shell) ร่วง 4.5% หลังบริษัทปรับลดคาดการณ์การผลิตก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ในไตรมาสแรก เนื่องจากสภาพอากาศเลวร้ายในออสเตรเลีย
บรรดานักลงทุนทั่วโลกจับตาสถานการณ์ในสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด หลังทรัมป์ให้สัมภาษณ์เมื่อวันอาทิตย์ว่า นักลงทุนจะต้อง กินยา หมายถึงต้องยอมรับผลกระทบจากการเทขายในตลาด และยืนยันว่าจะไม่ยอมทำข้อตกลง หากปัญหาขาดดุลการค้ากับจีนยังไม่ได้รับการแก้ไข
นายกรัฐมนตรีเคียร์ สตาร์เมอร์ของอังกฤษกล่าวว่า อังกฤษจะต่อสู้เพื่อทำข้อตกลงความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับสหรัฐฯ พร้อมทั้งพยายามลดอุปสรรคทางการค้ากับประเทศคู่ค้าหลักอื่น ๆ ทั่วโลก ท่ามกลางภาวะที่ทรัมป์เดินหน้าปรับขึ้นภาษี
ภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนทำให้นักลงทุนเพิ่มความคาดหวังว่า ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) จะลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนพ.ค. โดยโอกาสที่ BoE จะลดดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเกือบแตะ 100% จากเดิมที่อยู่ที่ 50% ก่อนการประกาศขึ้นภาษีของทรัมป์เมื่อวันพุธที่ผ่านมา
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอังกฤษพุ่งขึ้น ขณะที่ค่าเงินปอนด์อ่อนค่าลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 1 เดือนเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ
ด้านข้อมูลเศรษฐกิจนั้น ข้อมูลจากบริษัทปล่อยกู้จำนองฮาลิแฟกซ์ (Halifax) ระบุว่า ราคาบ้านในสหราชอาณาจักร ลดลงอย่างไม่คาดคิดในเดือนมี.ค. ซึ่งถือเป็นสัญญาณล่าสุดของตลาดที่เริ่มชะลอลง หลังจากก่อนหน้านี้ประชาชนเร่งซื้อบ้านเพื่อใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ใกล้หมดอายุ