ตลาดหุ้นยุโรปปิดลดลงในวันศุกร์ (11 เม.ย.) โดยดัชนี STOXX 600 ปรับตัวลงเป็นสัปดาห์ที่ 3 ติดต่อกัน ท่ามกลางความผันผวนอย่างรุนแรงจากการเปลี่ยนแปลงภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ อย่างฉับพลัน ซึ่งทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากสงครามการค้า
ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 486.80 จุด ลดลง 0.48 จุด หรือ -0.10%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,104.80 จุด ลดลง 21.22 จุด หรือ -0.30%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 20,374.10 จุด ลดลง 188.63 จุด หรือ -0.92% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,964.18 จุด เพิ่มขึ้น 50.93 จุด หรือ +0.64%
ในรอบสัปดาห์นี้ ดัชนี STOXX 600 ลดลง 1.8% และติดลบเป็นสัปดาห์ที่ 3 ติดต่อกัน
หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ซึ่งอ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ยบวก 2.1% ขณะที่กลุ่มสินค้าและบริการอุตสาหกรรมลดลงมากที่สุด 1.3%
นักลงทุนวิตกเกี่ยวกับสงครามการค้าที่ตึงเครียด หลังจีนประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ จาก 84% เป็น 125% ในการตอบโต้ต่อสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงระหว่างสองประเทศเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก
สัปดาห์นี้ถือเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่ตลาดการเงินทั่วโลกผันผวนมากที่สุดในรอบหลายปี หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ เริ่มจาก การประกาศเก็บภาษีตอบโต้การค้าแบบรุนแรง ต่อมากลับเลื่อนการจัดเก็บภาษีกับบางประเทศออกไปชั่วคราว 90 วัน ขณะที่ยังคงปรับขึ้นภาษีกับสินค้าจีนเป็น 145%
ดัชนี STOXX 600 เคยร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 1 ปีครึ่งเมื่อต้นสัปดาห์นี้ ก่อนพุ่งขึ้นอย่างมากในวันพฤหัสบดีหลังมีข่าวเลื่อนการเก็บภาษี ส่งผลให้ดัชนี STOXX 600 และดัชนีภูมิภาคอื่น ๆ หลายแห่งปรับตัวขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2565
การเลื่อนเก็บภาษี 90 วันของสหรัฐฯ ทำให้ตลาดเริ่มจับตาว่าสหรัฐฯ จะสามารถทำข้อตกลงการค้ารายประเทศได้หรือไม่ ด้านสหภาพยุโรปยังไม่ตอบโต้ด้วยการเก็บภาษีเพิ่ม และรอเจรจากับสหรัฐฯ โดย มารอส เซฟโควิช กรรมาธิการด้านการค้าของสหภาพยุโรป (EU) จะหารือกับเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ในวันจันทร์ที่จะถึงนี้ (14 เม.ย.)
แม้มีความผันผวนทั่วโลก แต่คริสติน ลาการ์ด ประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) ระบุว่า ตลาดการเงินในยูโรโซนยังทำงานได้ดี และ ECB กำลังจับตาผลกระทบจากการที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง
การประชุมของ ECB ในวันพฤหัสบดีหน้า (17 เม.ย.) จะถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด โดยตลาดได้สะท้อนความคาดหวังไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะมีการลดดอกเบี้ยลง 0.25% พร้อมรอดูว่าผู้กำหนดนโยบายจะประเมินผลกระทบจากภาษีต่อแนวโน้มเศรษฐกิจอย่างไร ขณะเดียวกัน ผลประกอบการไตรมาสแรกก็เป็นประเด็นที่นักลงทุนให้ความสนใจด้วย เพื่อดูว่าความไม่แน่นอนด้านภาษีจะกระทบต่อกำไรและแนวโน้มของบริษัทต่าง ๆ เพียงใด