ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกในวันศุกร์ (11 เม.ย.) โดยได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ แม้ความกังวลเกี่ยวกับความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่ทวีความรุนแรงขึ้นจะทำให้นักลงทุนยังคงระมัดระวัง หลังจากตลาดผันผวนตลอดทั้งสัปดาห์จากความไม่แน่นอนเรื่องภาษีนำเข้า
ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดที่ 7,964.18 จุด เพิ่มขึ้น 50.93 จุด หรือ +0.64%
แต่ในรอบสัปดาห์นี้ ดัชนีลดลง 1.1% ซึ่งถือเป็นการปรับตัวลงเป็นสัปดาห์ที่สองติดต่อกัน
ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นอังกฤษปรับตัวผันผวนอย่างหนักจากสถานการณ์ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายภาษี โดยเมื่อต้นสัปดาห์ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ได้ประกาศเลื่อนการเก็บภาษีศุลกากรกับหลายประเทศออกไป 90 วัน ซึ่งช่วยให้ตลาดคลายความกังวลชั่วคราว และทำให้ตลาดหุ้นอังกฤษพุ่งขึ้นแข็งแกร่งที่สุดในรอบ 3 ปี
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังคงระมัดระวังในการซื้อขายว เนื่องจากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนยังดำเนินต่อไป รวมถึงความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย โดยเมื่อวันศุกร์ จีนได้ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เป็น 125% เพื่อตอบโต้การที่ทรัมป์ปรับขึ้นภาษีกับสินค้าจีนเป็น 145% ส่งผลให้สงครามการค้าระหว่างสองประเทศเศรษฐกิจใหญ่ทวีความรุนแรงขึ้น
สหราชอาณาจักรกลับมามีการเติบโตทางเศรษฐกิจอีกครั้ง โดยผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) เดือนก.พ. ขยายตัว 0.5% ซึ่งดีกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ ซึ่งสะท้อนถึงเศรษฐกิจที่เริ่มมีเสถียรมากขึ้น ขณะที่ต้องเตรียมรับผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ หลังจากตัวเลข GDP ออกมาดีกว่าคาด นักลงทุนจึงลดความคาดหวังที่ว่า ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) จะลดอัตราดอกเบี้ยลง
หุ้นกลุ่มธนาคารที่อ่อนไหวต่อดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 0.8% โดยได้แรงหนุนจากผลประกอบการที่ดีของธนาคารในสหรัฐฯ หุ้นเอชเอสบีซี (HSBC Holdings) ปรับตัวขึ้นมากที่สุด โดยพุ่งขึ้น 2.7%
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ทองคำอย่าง เฟรสนิลโล (Fresnillo) และ เอนเดฟเวอร์ ไมน์นิ่ง (Endeavour Mining) พุ่งขึ้น 7.4% และ 6.4% ตามลำดับตามราคาทองคำที่ปรับตัวขึ้น
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่โลหะอุตสาหกรรมพุ่งขึ้น 2.7% เนื่องจากราคาโลหะในตลาดลอนดอนส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้น และราคาทองแดงปรับตัวขึ้นในรอบสัปดาห์นี้
อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มพลังงานลดลง 1.2% และถือเป็นกลุ่มที่ลดลงมากที่สุด โดยได้รับแรงกดดันจากหุ้นของบริษัท บีพี (BP) ที่ร่วงลง 2.9% หลังบริษัทระบุว่ากำไรจากการทำตลาดและค้าก๊าซในไตรมาสแรกจะอ่อนแอลง และคาดว่าหนี้สุทธิจะเพิ่มขึ้นด้วย