ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เปิดแทบไม่ขยับในวันนี้ (15 เม.ย.) ขณะที่นักลงทุนกำลังประเมินความเป็นไปได้ที่จะมีการผ่อนปรนภาษีนำเข้าสำหรับภาคยานยนต์ หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับการยกเว้นภาษีเพิ่มเติม
ณ เวลา 20.33 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 40,527.82 จุด เพิ่มขึ้น 3.0 จุด หรือ +0.01%
ปธน.ทรัมป์ได้ส่งสัญญาณเมื่อวันจันทร์ (14 เม.ย.) ว่า เขาอาจจะหาทางช่วยเหลือบริษัทผลิตรถยนต์ที่ได้รับผลกระทบจากภาษีนำเข้ามหาศาล เพื่อให้พวกเขามีเวลาปรับซัพพลายเชน
ทรัมป์กล่าวกับผู้สื่อข่าวในห้องทำงานรูปไข่ว่า "ผมกำลังดูแนวทางช่วยบริษัทรถยนต์บางรายที่กำลังเปลี่ยนไปใช้ชิ้นส่วนจากแคนาดา เม็กซิโก และที่อื่น ๆ พวกเขาต้องการเวลาสักหน่อย เพราะสุดท้ายก็จะผลิตที่นี่ (สหรัฐฯ)"
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวส่งสัญญาณว่า ทรัมป์อาจจะยอมถอยจากมาตรการภาษีนำเข้าที่เขาตั้งไว้ก่อนหน้านี้ โดยภาษีนำเข้า 25% สำหรับรถยนต์ที่ผลิตนอกสหรัฐฯ ได้เริ่มมีผลบังคับใช้เมื่อต้นเดือนเม.ย. ซึ่งส่งผลกระทบอย่างหนักต่อผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่น เยอรมนี เกาหลีใต้ และบริษัทอื่น ๆ รวมทั้งบริษัทอเมริกัน
อย่างไรก็ตาม ความเคลื่อนไหวในกลุ่มอุตสาหกรรมยาก็ยังคงสร้างความระมัดระวังให้กับนักลงทุน หลังเฟเดอรัล เรจิสเตอร์ (Federal Register) ซึ่งเป็นประกาศอย่างเป็นทางการของรัฐบาลสหรัฐฯ ได้เผยแพร่ประกาศเมื่อวานนี้ว่า รัฐบาลทรัมป์ได้เริ่มกระบวนการสอบสวนการนำเข้ายาและเซมิคอนดักเตอร์แล้ว เพื่อหาทางใช้มาตรการภาษีนำเข้าสินค้าทั้งสองประเภทนี้
ทั้งนี้ บรรยากาศการลงทุนโดยรวมยังคงปกคลุมไปด้วยความไม่แน่นอน โดยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (11 เม.ย.) ทำเนียบขาวเพิ่งประกาศยกเว้นภาษีสำหรับสมาร์ตโฟน คอมพิวเตอร์ และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์บางรายการที่นำเข้าจากจีนเป็นหลัก แต่ทรัมป์ก็กล่าวว่า การยกเว้นนี้จะเป็นเพียงระยะสั้นเท่านั้น
รายงานสำคัญทางเศรษฐกิจที่จะเปิดเผยในวันนี้ ได้แก่ รายงานราคานำเข้าและราคาส่งออกเดือนมี.ค.ของสหรัฐฯ และดัชนีภาคการผลิต (Empire State Manufacturing Index) เดือนเม.ย.จากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) สาขานิวยอร์ก ขณะเดียวกัน โธมัส บาร์กิน ประธานเฟดสาขาริชมอนด์ และลิซา คุก หนึ่งในคณะผู้ว่าการเฟด ก็มีกำหนดการกล่าวสุนทรพจน์ในวันนี้ด้วย
ขณะเดียวกัน BofA Global Research รายงานว่า นักลงทุนทั่วโลกได้ลดการถือครองหุ้นสหรัฐฯ ลงอย่างมีนัยสำคัญในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา และผู้จัดการกองทุนจำนวนมากเป็นประวัติการณ์ระบุว่ามีแผนที่จะลดสัดส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ต่อไป