ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นในวันพฤหัสบดี (24 เม.ย.) โดยดัชนีหลักทั้ง 3 ดัชนีปิดในแดนบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 3 ขานรับความแข็งแกร่งของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ขณะเดียวกันนักลงทุนประเมินผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน และหาสัญญาณบ่งชี้ความคืบหน้าด้านการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ
ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 40,093.40 จุด เพิ่มขึ้น 486.83 จุด หรือ +1.23%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,484.77 จุด เพิ่มขึ้น 108.91 จุด หรือ +2.03% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 17,166.04 จุด เพิ่มขึ้น 457.99 จุด หรือ +2.74% หุ้น 10 ใน 11 กลุ่มในดัชนี S&P500 ปิดในแดนบวก นำโดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีพุ่งขึ้น 3.54% ตามด้วยหุ้นกลุ่มบริการด้านการสื่อสารพุ่งขึ้น 2.31% ส่วนหุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคปรับตัวลง 0.96%
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีได้รับแรงซื้ออย่างคึกคัก โดยเฉพาะหุ้น 7 บริษัทเทคโนโลยีที่มีมาร์เก็ตแคปสูง หรือกลุ่ม "Magnificent Seven" หลังจากบริษัทเซอร์วิสนาว (ServiceNow) ซึ่งเป็นผู้ผลิตซอฟต์แวร์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI เปิดเผยกำไรที่สูงเกินคาด โดยหุ้นเซอร์วิสนาวปิดตลาดทะยานขึ้น 15.5%
ส่วนหุ้นกลุ่ม Magnificent Seven นั้น หุ้นเทสลา (Tesla) พุ่งขึ้น 3.5% หุ้นเมตา แพลตฟอร์ม (Meta Platforms) บวก 2.5% หุ้นอินวิเดีย (Nvidia) พุ่งขึ้น 3.6% หุ้นอัลฟาเบท (Alphabet) เพิ่มขึ้น 2.4% และหุ้นไมโครซอฟท์ (Microsoft) พุ่งขึ้น 3.4% หุ้นแอปเปิ้ล (Apple) ปรับตัวขึ้น 1.8% และหุ้นอะเมซอน (Amazon) พุ่งขึ้น 3.3%
หุ้นพรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล (P&G) ร่วงลง 3.7% หลังจากบริษัทเปิดเผยรายได้ในช่วงเดือนม.ค.-มี.ค. ซึ่งเป็นไตรมาส 3 ของปีงบการเงินบริษัท อยู่ที่ 1.978 หมื่นล้านดอลลาร์ ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 2.011 หมื่นล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ P&G คาดการณ์ว่ารายได้ในปีงบการเงินปัจจุบันจะไม่มีการขยายตัว จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัว 2-4%
หุ้นอเมริกัน แอร์ไลน์ (American Airlines) ซึ่งเป็นสายการบินใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ พุ่งขึ้น 3.1% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 1/2568 อยู่ที่ 59 เซนต์ สวนทางกับนักวิเคราะห์ที่คาดว่าบริษัทจะขาดทุนต่อหุ้น 65 เซนต์
ข้อมูลจาก LSEG ระบุว่า นับจนถึงขณะนี้มีบริษัท 157 แห่งในดัชนี S&P500 ที่รายงานผลประกอบการแล้ว ซึ่งในจำนวนนี้มี 74% ที่รายงานผลประกอบการสูงกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ในวอลล์สตรีท
นักลงทุนยังคงจับตาสถานการณ์ตึงเครียดด้านการค้าระหว่างจีนสหรัฐฯ โดยก่อนหน้านี้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ส่งสัญญาณถึงความพร้อมที่จะคลี่คลายข้อพิพาทการค้าระหว่างสองประเทศด้วยการกล่าวว่าเขาอาจจะปรับลดภาษีสินค้านำเข้าจากจีนลงจากระดับ 145% อย่างไรก็ดี สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ กล่าวว่า ปธน.ทรัมป์ไม่มีแผนที่จะเป็นฝ่ายเริ่มต้นก่อนในการลดภาษีศุลกากร พร้อมกับกล่าวว่า สหรัฐฯ และจีนยังไม่ได้เริ่มต้นการเจรจาการค้าอย่างเป็นทางการร่วมกัน
ล่าสุด เหอ หย่าตง โฆษกกระทรวงพาณิชย์ของจีนได้ออกมายืนยันว่า ยังไม่มีการเจรจาการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ อีกทั้งปฏิเสธข่าวลือเกี่ยวกับความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างสองประเทศ โดยระบุว่าข่าวดังกล่าวไม่มีมูลความจริง นอกจากนี้ นายเหอยังเรียกร้องให้สหรัฐฯ ยกเลิกมาตรการภาษีทั้งหมดที่เรียกเก็บจากสินค้าจีน
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการรายงานเมื่อคืนนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก เพิ่มขึ้น 6,000 ราย สู่ระดับ 222,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว สอดคล้องตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
ทางด้านสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐฯ (NAR) เปิดเผยว่า ยอดขายบ้านมือสองลดลง 5.9% สู่ระดับ 4.02 ล้านยูนิตในเดือนมี.ค. เมื่อเทียบรายเดือน และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 4.14 ล้านยูนิต
ส่วนกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เปิดเผยว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน เช่น เครื่องบิน รถยนต์ และเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป พุ่งขึ้น 9.2% ในเดือนมี.ค. ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าเพิ่มขึ้นเพียง 1.6% หลังจากเพิ่มขึ้น 0.9% ในเดือนก.พ.