เฟดได้ส่งสัญญาณว่า จะปรับลดขนาดของโครงการซื้อพันธบัตรลงจากวงเงิน 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน โดยตลาดคาดว่าเฟดจะเริ่มลดขนาดโครงการดังกล่าวในเดือนก.ย. ในขณะที่ความวิตกกังวลเกี่ยวกับมาตรการทางการเงินของสหรัฐส่งผลให้เม็ดเงินลงทุนจำนวนมากไหลออกจากเอเชียและส่งผลให้ค่าเงินรูปีของอินเดียร่วงแตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์
เดวิด คุย นักวางแผนกลยุทธ์ในจีนของแบงก์ ออฟ อเมริกา ระบุในบทความว่า “ในเรื่องเศรษฐกิจ จีนอาจจะเป็นประเทศที่มีสถานะที่ดีที่สุดในการรับมือกับเหตุการณ์ที่อยู่เหนือคาดหมายจากภายนอกประเทศ แต่อย่างไรก็ดี แนวโน้มของตลาดหลักทรัพย์อาจจะไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกับเศรษฐกิจ"
“สิ่งที่เราวิตกกังวลมากที่สุดเกี่ยวกับการปรับลดขนาดโครงการก็คือการไหลออกของกระแสเงินร้อน" รายงานระบุ “เราเชื่อว่าจะมีแรงเทขายจำนวนมากในตลาด โดยส่วนใหญ่จะนำเงินไปฝากไว้ที่อุตสาหกรรมธนาคารเงา และการไหลออกของทุนอาจจะส่งผลให้เกิดภาวะสินเชื่อตึงตัว"
ตลาดหุ้นจีนร่วงลง 5% เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. ที่ผ่านมา หลังจากอัตราดอกเบี้ยอินเตอร์แบงก์พุ่งแตะระดับ 2 หลักอันเนื่องมาจาความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะสินเชื่อตึงตัว ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นร่วงลง 6% ในวันถัดมา ก่อนที่ธนาคารกลางจีนจะออกมาให้คำมั่นว่าจะอัดฉีดสภาพคล่องเพื่อสกัดแนวโน้มการปรับตัวลง
ทั้งนี้ จีนซึ่งมีอัตราการขยายตัวของจีดีพีที่ค่อนข้างรวดเร็ว มีเงินทุนและดุลบัญชีเดินสะพัดที่แข็งแกร่งมากพอที่จะต้านทานเหตุการณ์ที่อยุ่เหนือความคาดหมายจากภายนอกประเทศ แต่อย่างไรก็ดี ปัญหาภายในภูมิภาคอาจจะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นของประเทศก็เป็นได้
“กระแสน้ำที่ลดลงทำให้เรือทุกลำเกยตื้น" นายคุยกล่าว “โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเริ่มต้นที่นักลงทุนต่างก็ถอนตัวออกจากตลาด ซึ่งส่วนมากมีแนวโน้มที่จะเทขายในช่วงที่ยังมีสภาพคล่องมากกว่าในช่วงที่ควรขาย โดยตลาดหุ้นจีนมีสภาพคล่องที่สูงที่สุดในบรรดาประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ในภูมิภาค" สำนักข่าวซินหัวรายงาน