โดยในรายงานแนวโน้มตลาดเกิดใหม่ประจำปี 2559 เจพี มอร์แกน ได้ระบุถึงตลาดหุ้นไทย โดยชี้ไปที่หุ้นกลุ่มการเงิน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนถึง 25% ในตลาดหุ้นไทย และหุ้นกลุ่มพลังงานและวัสดุ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนรวมกันอีก 30% ของดัชนี MSCI Thailand
นักวิเคราะห์ของเจพี มอร์แกน ระบุว่า แนวโน้มคุณภาพสินทรัพย์ของธนาคารไทยนั้นเสื่อมถอยลง หลังจากภาระหนี้สินเพิ่มขึ้นมาก ซึ่งส่งผลกระทบต่อผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) ขณะที่ผลประกอบการของกลุ่มธนาคารเองก็ไม่ดีนัก โดยในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา ยอดการปล่อยเงินกู้ของธนาคารต่างๆ ขยายตัวเพียง 6% จากปีก่อน ขณะที่ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิหดตัวลง
สำหรับมุมมองต่อกลุ่มพลังงานและกลุ่มวัสดุนั้น เจพี มอร์แกน ชี้ว่าความต้องการวัสดุก่อสร้างและปูนซีเมนต์ยังคงอ่อนแอ เนื่องจากการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาลน่าผิดหวัง ขณะที่กลุ่มพลังงานกำลังเผชิญกับคลื่นลมปะทะ (headwind) จากแนวโน้มราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ซบเซา
เจพี มอร์แกน คาดว่า จีดีพีของไทยจะขยายตัวเพียง 2.9% ในปีหน้า ซึ่งไม่สัมพันธ์กับการขยายตัวของรายได้บริษัทจดทะเบียนที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 8% ทั้งนี้ บรรดานักวิเคราะห์หุ้นได้ปรับลดประมาณการผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน ซึ่งเจพี มอร์แกนมองว่ายังสูงเกินไป
รายงานของเจพี มอร์แกน เป็นไปในทิศทางเดียวกับเครดิตสวิส โดยธนาคารสัญชาติสวิสระบุในรายงานกลยุทธ์การลงทุนหุ้นในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ว่า ดัชนี MSCI Emerging Markets Index จะปรับตัวขึ้น 15% แตะที่ระดับ 960 พร้อมให้คำแนะนำ Overweight แก่หุ้นจีน เกาหลีใต้ อินเดีย เม็กซิโก มาเลเซีย และตุรกี ขณะที่ให้น้ำหนัก Underweight แก่บราซิล รัสเซีย ไทย ฟิลิปปินส์ และโปแลนด์