Deutsche Boerse ซึ่งเป็นผู้บริหารจัดการตลาดหลักทรัพย์แฟรงเฟิร์ต ส่งสัญญาณในวันนี้ว่า หลังการควบรวมกิจการกับ London Stock Exchange (LSE) ซึ่งเป็นผู้บริหารจัดการตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน สำนักงานใหญ่ที่เกิดขึ้นจะมีการตั้งอยู่นอกสหราชอาณาจักร หลังจากที่สหราชอาณาจักรได้ลงประชามติแยกตัวจากสหภาพยุโรป (EU) เมื่อเดือนที่แล้ว
Deutsche Boerse แสดงท่าทีดังกล่าว หลัง BaFin ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับหลักทรัพย์ของเยอรมนี แสดงความกังวลก่อนหน้านี้ว่า ที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ภายหลังควบรวมกิจการนั้น ไม่ควรตั้งอยู่ในสหราชอาณาจักร เนื่องจากเมื่อควบรวมกิจการแล้ว จะกลายเป็นตลาดซื้อขายหลักทรัพย์ที่สำคัญที่สุดในยูโรโซน และคงดูสับสนหากสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในประเทศที่เพิ่งขอถอนตัวออกจาก EU
ขณะเดียวกัน Deutsche Boerse ระบุว่า การดำเนินการของคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นมาเพื่อให้การควบรวมกิจการกับ LSE เป็นไปอย่างราบรื่น และไม่ได้รับผลกระทบจากการลงประชามติของอังกฤษในการแยกตัวจาก EU จะต้องใช้เวลาหลายเดือนกว่าจะแล้วเสร็จ
คณะกรรมการดังกล่าว ซึ่งมีนายโจอาคิม เฟเบอร์ ประธาน Deutsche Boerse เป็นประธานนั้น จะให้คำแนะนำเพื่อสร้างความมั่นใจว่าการควบรวมกิจการระหว่าง Deutsche Boerse และ LSE สอดคล้องกับข้อกำหนดทุกประการเพื่อให้สามารถปิดการทำธุรกรรมได้ และบรรลุวัตถุประสงค์ในเชิงพาณิชย์
"ไม่ว่าสหราชอาณาจักรจะเป็นสมาชิก EU หรือไม่ การควบรวมกิจการดังกล่าวจะสร้างกลุ่มบริษัทหนึ่งที่สามารถแข่งขันในระดับโลกในภาคอุตสาหกรรมของยุโรป" Deutsche Boerse ระบุในแถลงการณ์ และเสริมว่าธุรกรรมที่บรรลุข้อตกลงดังกล่าว ได้รวมถึงกลไกที่จำเป็นในการรับมือกับผลลัพธ์ของการทำประชามติในอังกฤษ
เมื่อวานนี้ กลุ่มผู้ถือหุ้นของ LSE ลงคะแนน 99.89% เห็นชอบต่อการควบรวมกิจการกับ Deutsche Boerse แม้ว่าอังกฤษจะลงประชามติถอนตัวจากสหภาพยุโรป (Brexit) ก็ตาม
ทางด้านผู้ถือหุ้นของ Deutsche Boerse มีกำหนดลงมติต่อข้อตกลงควบรวมกิจการดังกล่าว ซึ่งมีมูลค่า 2.7 หมื่นล้านดอลลาร์ (2 หมื่นล้านปอนด์) ภายในวันที่ 12 ก.ค.
ทั้งนี้ การควบรวมกิจการดังกล่าว ถือเป็นความพยายามครั้งที่ 3 ของบริษัททั้ง 2 ในการควบรวมกิจการกัน หลังจากที่ความพยายาม 2 ครั้งก่อนหน้านี้ประสบความล้มเหลวในปี 2543 และ 2547
ภายใต้ข้อตกลงดังกล่าว ผู้ถือหุ้นของ LSE จะถือหุ้น 45.6% ในบริษัทแห่งใหม่ ขณะที่ผู้ถือหุ้น Deutsche Boerse จะถือหุ้น 54.4%