แบงก์ ออฟ อเมริกา เมอร์ริล ลินช์เปิดเผยสถิติการปรับตัวของตลาดหุ้นวอลล์สตรีทในอดีตต่อผลการเลือกตั้งในสหรัฐพบว่า ตลาดหุ้นจะให้ผลตอบแทนดีที่สุดเมื่อพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันแบ่งกันครองเสียงข้างมากในสภาคองเกรส
ทั้งนี้ ในกรณีที่ประธานาธิบดีมาจากพรรครีพับลิกัน ส่วนพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันแบ่งกันครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา ก็จะส่งผลให้ดัชนี S&P 500 ให้ผลตอบแทน 12% ต่อปี ซึ่งนักวิเคราะห์ก็คาดการณ์เช่นกันว่า การเลือกตั้งกลางเทอมในครั้งนี้ พรรคเดโมแครตจะครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร ขณะที่พรรครีพับลิกันจะครองเสียงส่วนใหญ่ในวุฒิสภา ซึ่งหากผลการเลือกตั้งออกมาสอดคล้องกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ก็จะเป็นผลบวกต่อตลาดวอลล์สตรีท
นอกจากนี้ ในกรณีที่ประธานาธิบดีมาจากพรรคเดโมแครต ส่วนพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันแบ่งกันครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา ก็จะส่งผลให้ดัชนี S&P 500 ให้ผลตอบแทนมากถึง 16% ต่อปี
ขณะเดียวกัน หากประธานาธิบดีมาจากพรรครีพับลิกัน ส่วนพรรคเดโมแครตครองเสียงข้างมากทั้งในสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา ก็จะทำให้ดัชนี S&P 500 ให้ผลตอบแทน 8.6% ต่อปี อย่างไรก็ดี หากพรรคเดโมแครตครองเสียงข้างมากทั้ง 2 สภาในครั้งนี้ ก็จะสร้างความผันผวนต่อตลาดหุ้นวอลล์สตรีท เนื่องจากจะทำให้เกิดความไม่แน่นอนทางการเมืองมากขึ้น จากการที่พรรคเดโมแครตจะเพิ่มการตรวจสอบประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และขัดขวางนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่ปธน.ทรัมป์พยายามที่จะผลักดันผ่านสภาคองเกรส รวมทั้งจะเพิ่มโอกาสที่หน่วยงานของรัฐบาลจะเผชิญกับการถูกปิดการดำเนินงาน (ชัตดาวน์) เนื่องจากเกิดความขัดแย้งด้านงบประมาณ