ดัชนีดาวโจนส์ และดัชนี S&P 500 มีแนวโน้มปรับตัวย่ำแย่ที่สุดในเดือนธ.ค.ปีนี้นับตั้งแต่ปี 2474 ซึ่งขณะนั้นตลาดหุ้นวอลล์สตรีททรุดตัวลงจากการที่สหรัฐกำลังประสบภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่
ขณะนี้ ดัชนีดาวโจนส์ และดัชนี S&P 500 ร่วงลง 7.8% และ 7.6% นับตั้งแต่ต้นเดือนนี้ ตามลำดับ
ที่ผ่านมา เดือนธ.ค.มักเป็นเดือนที่ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทปรับตัวได้ดี โดยดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงในเดือนธ.ค.เพียง 25 ครั้ง นับตั้งแต่ปี 2474 ขณะที่ดัชนี S&P 500 ดีดตัวขึ้นเฉลี่ย 1.6% ในเดือนธ.ค. ซึ่งถือเป็นเดือนที่ปรับตัวดีที่สุดของปี
นายจอห์น สโตลฟัส หัวหน้านักวิเคราะห์ของออพเพนไฮน์เมอร์ แอสเซท แมเนจเมนท์ กล่าวว่า โอกาสที่จะเกิดปรากฎการณ์ "ซานตา คลอส แรลลี่" ในตลาดหุ้นปีนี้ ดูเหมือนจะลดน้อยลง ขณะที่เหลือเวลาอีกเพียง 9 วันทำการก็จะสิ้นปีนี้
นายสโตลฟัสกล่าวว่า นักลงทุนยังคงไม่เชื่อมั่นในตลาดหุ้น แม้ว่ามีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง และมีราคาหุ้นที่ต่ำ
ก่อนหน้านี้ นายสโตลฟัสคาดการณ์ในช่วงต้นเดือนนี้ว่า ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทจะดีดตัวขึ้น 7% ในช่วงปลายปี โดยได้แรงหนุนจากซานตา คลอส แรลลี่ ขณะที่ระบุว่า หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ซึ่งถูกเทขายในช่วงเดือนต.ค. และมีการปรับตัวที่ผันผวนในเดือนพ.ย. ยังคงเป็นกลุ่มที่น่าสนใจ และการกลับมาเจรจาการค้าครั้งใหม่ระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิงถือเป็นสัญญาณที่ดี
ทั้งนี้ ข้อมูลเศรษฐกิจในระยะนี้ได้ส่งผลให้นักลงทุนมีความวิตกเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก และเป็นปัจจัยจำกัดผลตอบแทนในตลาดหุ้น ส่งผลให้ดัชนีดาวโจนส์ดิ่งลงเกือบ 500 จุดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา หลังจากที่จีนเปิดเผยตัวเลขผลผลิตภาคอุตสาหกรรม และยอดค้าปลีกที่ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
ตามสถิติที่ผ่านมา ซานต้า แรลลี่ของตลาดหุ้นวอลล์สตรีทจะเกิดขึ้นเป็นเวลา 7 วันทำการ โดยมีขึ้นในช่วง 5 วันทำการสุดท้ายของปีปัจจุบัน รวมทั้ง 2 วันแรกของปีใหม่
จากการรวบรวมสถิติการปรับตัวของตลาดหุ้นนิวยอร์กช่วง 7 วันของซานต้า แรลลี่ พบว่า ดัชนีดาวโจนส์สามารถปิดตลาดในแดนบวกถึง 78% นับตั้งแต่ปี 2471 หรือในช่วงเวลาเกือบ 90 ปีที่ผ่านมา