มอร์แกน สแตนลีย์เชื่อว่า ตลาดหุ้นเอเชียได้แตะระดับต่ำสุดแล้ว และตลาดจะพลิกฟื้นในปีหน้า โดยได้รับปัจจัยบวกจากการที่จีนใช้นโยบายการเงินเชิงขยาย ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ
นายโจนาธาน การ์เนอร์ หัวหน้านักวิเคราะห์หุ้นของตลาดเอเชียและตลาดเกิดใหม่ของมอร์แกน สแตนลีย์ กล่าวว่า วัฎจักรนโยบายการเงินของจีนแตกต่างจากสหรัฐ และการที่จีนใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินก็จะเป็นประโยชน์ต่อหุ้นเอเชีย
ทั้งนี้ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% เมื่อวันพุธที่ผ่านมา แต่ธนาคารกลางของจีนก็ยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระยะสั้นในวันพฤหัสบดี
นายการ์เนอร์เปิดเผยว่า จีนได้ดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งรวมถึงการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองในบางเมือง รวมทั้งใช้เครื่องมือด้านนโยบายเกี่ยวกับการตั้งเป้าหมายอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในระยะกลาง เพื่อกระตุ้นการปล่อยสินเชื่อแก่ธุรกิจขนาดย่อม
นายการ์เนอร์กล่าวว่า ตลาดหุ้นเอเชียแตะระดับต่ำสุดในปลายเดือนต.ค. และต้นเดือนพ.ย. ซึ่งขณะนี้ มอร์แกน สแตนลีย์ก็มีความเชื่อมั่นต่อตลาดหุ้นในภูมิภาค
ทั้งนี้ มอร์แกน สแตนลีย์คาดการณ์ว่า ตลาดเกิดใหม่ขนาดใหญ่ เช่น จีน อินเดีย อินโดนีเซีย และบราซิล จะปรับตัวได้ดีในช่วงครึ่งหลังของปีหน้า
ความเห็นของมอร์แกน สแตนลีย์สอดคล้องกับเจพีมอร์แกน แอสเซ็ท แมเนจเมนท์ ที่ยังคงแนะนำให้นักลงทุนเข้าซื้อหุ้นเอเชีย
"ตลาดเผชิญภาวะยากลำบากในปีนี้ แต่เรายังคงมีมุมมองบวกในระยะยาวต่อเอเชีย" นางเจเน็ท ซาง ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนในตลาดเอเชียแปซิฟิกและตลาดเกิดใหม่ของเจพีมอร์แกน กล่าว
นางซางกล่าวว่า มี 3 เหตุผลที่นักลงทุนควรจะยังคงลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียต่อไป ได้แก่ การอ่อนค่าของดอลลาร์, การทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน รวมทั้งผลประกอบการที่แข็งแกร่งของเอเชีย
นางซางระบุว่า การแข็งค่าของดอลลาร์ได้ส่งผลกระทบต่อตลาดเอเชียในปีนี้ เนื่องจากนักลงทุนถอนเงินทุนกลับไปยังสหรัฐ โดยได้ปัจจัยดึงดูดจากเศรษฐกิจสหรัฐที่สดใส และแนวโน้มผลตอบแทนที่ดีกว่า
อย่างไรก็ดี มีหลายสาเหตุที่จะทำให้ดอลลาร์อ่อนค่าลง จากการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะยุติการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวลง ซึ่งจะส่งผลให้ดอลลาร์ชะลอตัว
นอกจากนี้ สหรัฐยังเผชิญปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด และการขาดดุลงบประมาณ ซึ่งก็จะส่งผลกระทบต่อดอลลาร์เช่นกัน
สำหรับในประเด็นการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนนั้น นางซางเห็นว่า ตลาดได้รับรู้ปัจจัยดังกล่าวแล้ว ส่งผลให้ราคาหุ้นได้สะท้อนผลกระทบจากการทำสงครามการค้า ซึ่งจะทำให้ตลาดในภูมิภาคมีเสถียรภาพ
นางซางยังระบุว่า บริษัทจดทะเบียนในเอเชียมีผลประกอบการที่สดใส แม้ว่าจะเผชิญปัจจัยลบมากมาย ขณะที่ราคาหุ้นเมื่อเทียบกับมูลค่าทางบัญชี (price-to-book ratio) กำลังอยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในระยะยาว ซึ่งบ่งชี้ว่าหุ้นเอเชียจะมีผลตอบแทนที่น่าดึงดูดใจในช่วง 12 เดือนข้างหน้า