ดัชนีดาวโจนส์ปิดตลาดพุ่งขึ้นกว่า 200 จุดเมื่อวานนี้ ซึ่งเป็นวันทำการสุดท้ายของปี 2561
อย่างไรก็ดี ดาวโจนส์ยังคงทำสถิติปรับตัวย่ำแย่ที่สุดในปีที่แล้ว นับตั้งแต่เกิดวิกฤตการเงินทั่วโลกเมื่อ 10 ปีก่อนหน้านี้
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาทั้งปี 2561 ดัชนีดาวโจนส์ดิ่งลง 5.6%, ดัชนี S&P 500 ทรุดตัวลง 6.2% และดัชนี Nasdaq ร่วงลง 3.9% โดยดัชนีทั้ง 3 ต่างปรับตัวลงมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2551 ซึ่งในปีดังกล่าว ดัชนีดาวโจนส์, ดัชนี S&P 500 และดัชนี Nasdaq รูดลง 33.8%, 38.5% และ 40% ตามลำดับ
นอกจากนี้ ปี 2561 ยังเป็นปีที่ดัชนีดาวโจนส์ และดัชนี S&P 500 ปรับตัวลงเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี และดัชนี Nasdaq ร่วงลงเป็นครั้งแรก หลังจากดีดตัวขึ้นติดต่อกัน 6 ปี
ขณะเดียวกัน ในปีที่แล้ว ยังเป็นครั้งแรกที่ดัชนี S&P 500 ปรับตัวลง แม้ว่าสามารถดีดตัวขึ้นในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี
เมื่อพิจารณาไตรมาส 4 ของปี 2561 พบว่า ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงเกือบ 12% ซึ่งเป็นการปรับตัวย่ำแย่ที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 2552 ส่วนดัชนี S&P 500 และดัชนี Nasdaq ดิ่งลง 13.97% และ 17.50% ตามลำดับ ซึ่งเป็นการปรับตัวย่ำแย่ที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาส 4 ของปี 2552
และเมื่อพิจารณาเฉพาะเดือนธ.ค. ดัชนีดาวโจนส์, ดัชนี S&P 500 และดัชนี Nasdaq ต่างทรุดตัวลงไม่น้อยกว่า 8.7% โดยดัชนีดาวโจนส์ และดัชนี S&P 500 ทำสถิติปรับตัวในเดือนธ.ค.2561 ย่ำแย่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 2474 และดิ่งลงเมื่อเทียบรายเดือนมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.พ.2552
นักวิเคราะห์ระบุว่า นักลงทุนพากันเทขายหุ้นในเดือนธ.ค. ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) รวมทั้งการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน