บริษัท S&P Dow Jones Indices LLC ซึ่งเป็นผู้จัดทำดัชนีตลาดหุ้นนิวยอร์ก ได้ทำการปรับน้ำหนักหุ้นที่คำนวณในดัชนี S&P500 โดยไม่ได้นำหุ้นบริษัทเทสลา (Tesla) เข้าร่วมคำนวณในดัชนีดังกล่าว ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ราคาหุ้นเทสลาทรุดตัวลงกว่า 21% ในการซื้อขายที่ตลาดหุ้นนิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (8 ก.ย.) ซึ่งเป็นการร่วงลงในวันเดียวที่รุนแรงที่สุดเป็นประวัติการณ์ และยังคงปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องในการซื้อขายนอกเวลาทำการ โดย ณ เวลา 13.55 น.ตามเวลาไทยในวันนี้ ราคาหุ้นเทสลา ร่วงลงอีก 1.84%
ในการปรับน้ำหนักครั้งนี้ S&P Dow Jones Indices LLC ได้นำหุ้น Etsy ซึ่งเป็นบริษัทอีคอมเมิร์ซ, หุ้น Catalent ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพ และหุ้น Teradyne ซึ่งเป็นผู้จัดหาอุปกรณ์ทดสอบอัตโนมัติ เข้าคำนวณในดัชนี S&P500
นักวิเคราะห์กล่าวว่า นักลงทุนเทขายหุ้นเทสลาเมื่อคืนนี้ เนื่องจากรู้สึกผิดหวังที่หุ้นเทสลาไม่ได้ถูกนำไปคำนวณในดัชนี S&P500 ตามที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ แม้บริษัทมีผลประกอบการที่แข็งแกร่งในช่วงที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ราคาหุ้นเทสลายังถูกกดดันจากรายงานข่าวที่ว่า เจเนอรัล มอเตอร์ (จีเอ็ม) บริษัทผลิตรถยักษ์ใหญ่ของสหรัฐ ประกาศแผนซื้อหุ้นของบริษัทนิโคลา คอร์ป ผู้ผลิตรถบรรทุกไฟฟ้าของสหรัฐ ซึ่งถือเป็นการท้าชนเทสลา เนื่องจากรถบรรทุกไฟฟ้ารุ่น Nikola Badger ของนิโคลา ถือเป็นคู่แข่งของรถบรรทุกรุ่น Cybertruck ของเทสลาที่เพิ่งเรียกเสียงฮือฮาไปเมื่อไม่นานมานี้
รายงานระบุว่า นักลงทุนได้ทุ่มซื้อหุ้นเทสลาในช่วงก่อนหน้านี้ เนื่องจากคาดการณ์ว่าหุ้นเทสลาจะถูกนำไปคำนวณในดัชนี S&P500 หลังจากบริษัทสามารถทำกำไรได้ในช่วงไม่กี่ไตรมาสที่ผ่านมา แม้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยบริษัทสามารถขายรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ได้กว่า 179,000 คันในช่วงครึ่งปีแรก ซึ่งมากกว่ายอดขายของคู่แข่งทุกบริษัทรวมกัน
เมื่อไม่นานมานี้ Billionaires Index ของสำนักข่าวบลูมเบิร์กบ่งชี้ว่า นายอีลอน มัสก์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเทสลา ได้กลายเป็นมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยกว่านายมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ซึอีโอของบริษัทเฟซบุ๊ก อิงค์ เนื่องจากราคาหุ้นเทสลาทะยานขึ้นแบบฉุดไม่อยู่ หลังจากที่ทางบริษัทได้ทำการแตกหุ้น โดยความมั่งคั่งของนายมัสก์มีมูลค่าสูงถึง 1.154 แสนล้านดอลลาร์ เมื่อเทียบกับนายซัคเคอร์เบิร์กซึ่งอยู่ที่ 1.108 แสนล้านดอลลาร์