นายแจน แฮตซิอุซ หัวหน้านักวิเคราะห์ของโกลด์แมน แซคส์ กล่าวเตือนว่า ตลาดหุ้นและพันธบัตรของสหรัฐอาจปรับฐานอย่างรุนแรงในไม่ช้า เนื่องจากการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ และการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เริ่มชะลอการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา และหากพิจารณาตั้งแต่เดือนมี.ค.2563 ซึ่งเป็นช่วงที่ไวรัสโควิด-19 เริ่มแพร่ระบาดในสหรัฐ ดัชนีดาวโจนส์และดัชนี S&P 500 ได้พุ่งขึ้นเกือบ 70% แล้ว ขณะที่ดัชนี Nasdaq ทะยานขึ้นกว่า 80%
อย่างไรก็ดี อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีได้พุ่งขึ้นทะลุ 1% เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากที่พรรคเดโมแครตสามารถคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาในรัฐจอร์เจีย ทำให้ทางพรรคสามารถครองอำนาจเบ็ดเสร็จทั้งในทำเนียบขาว วุฒิสภา และสภาผู้แทนราษฎร
ทั้งนี้ พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐถือเป็นพันธบัตรอ้างอิงสำหรับตราสารหนี้ทั่วโลก การดีดตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐจึงส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยของตราสารหนี้ทั่วโลกปรับตัวขึ้นเช่นกัน ทำให้บริษัทต่างๆต้องใช้เงินในการชำระหนี้เพิ่มขึ้น ซึ่งจะกระทบต่อสถานะทางการเงิน และราคาหุ้นของบริษัท
นอกจากนี้ การที่เฟดจะเริ่มชะลอการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านทางการลดวงเงินซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) จะทำให้เฟดลดการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่เศรษฐกิจ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นอย่างรุนแรงดังที่เห็นได้จากในปี 2556
อย่างไรก็ดี นายแฮตซิอุซกล่าวว่า โกลด์แมน แซคส์ยังคงมีความเชื่อมั่นในตลาดหุ้นสหรัฐในระยะยาว โดยเชื่อว่าตลาดจะยังคงมีช่วงขาขึ้นต่อไป โดยได้ปัจจัยบวกจากการที่อัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับต่ำ และมาตรการทางการคลังยังคงเอื้อต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โกลด์แมน แซคส์ได้ปรับประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐในปีนี้ โดยคาดว่าจะมีการขยายตัว 6.4% จากเดิมคาดการณ์ที่ระดับ 5.6% ขานรับการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหม่ภายใต้รัฐบาลของนายโจ ไบเดน