นายทอม ลี นักวิเคราะห์จากบริษัทฟันด์สแตรทส์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทยังคงสามารถพุ่งขึ้นอีก 6% จนถึงสิ้นปีนี้ แม้ว่าขณะนี้ราคาหุ้นได้ดีดตัวขึ้นมากแล้ว
นายลียังได้ปรับเพิ่มตัวเลขเป้าหมายดัชนี S&P 500 สู่ระดับ 4,800 ในปีนี้ โดยระบุถึงการพุ่งขึ้นของราคาบิตคอยน์ ซึ่งเป็นการบ่งชี้ว่านักลงทุนมีความต้องการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยังได้ปัจจัยบวกจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ และผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่แข็งแกร่ง ขณะที่ผู้ติดเชื้อโควิด-19 มีจำนวนลดลง
"เราเชื่อว่านักลงทุนกล้าลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น ขณะที่ปัจจัยทางเทคนิค เช่น เส้นค่าเฉลี่ย 50 วันกำลังส่งสัญญาณทิศทางตลาดที่แข็งแกร่งขึ้น" นายลีกล่าว
ทั้งนี้ ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นเกือบ 200 จุดวานนี้ โดยปรับตัวขึ้นเป็นวันที่ 3 ในรอบ 4 วัน ขณะที่ดัชนี S&P 500 และดัชนี Nasdaq ปรับตัวขึ้นติดต่อกัน 5 วัน ซึ่งเป็นช่วงขาขึ้นที่ยาวนานที่สุดนับตั้งแต่เดือนส.ค.
การพุ่งขึ้นของดัชนีทั้ง 3 วานนี้ ทำให้ขณะนี้ดัชนีดังกล่าวกำลังเข้าใกล้สถิติสูงสุดที่เคยทำไว้ก่อนหน้านี้ โดยดัชนีดาวโจนส์อยู่ห่างจากจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์เพียง 0.49% ขณะที่ดัชนี S&P 500 และดัชนี Nasdaq อยู่ห่างราว 0.58% และ 1.78% ตามลำดับ
ขณะเดียวกัน ข้อมูลจาก "Stock Trader's Almanac" ระบุว่า ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทมักฟื้นตัวขึ้นในเดือนต.ค. และปรับตัวขึ้นจนถึงสิ้นปี โดยเดือนต.ค.ถือเป็นจุดเริ่มต้นของช่วงขาขึ้นตามฤดูกาลของราคาหุ้น ขณะที่ดัชนี S&P 500 ดีดตัวขึ้นเฉลี่ย 0.8% ในเดือนต.ค. ก่อนที่จะพุ่งขึ้น 1.6% ในเดือนพ.ย. และ 1.5% ในเดือนธ.ค.