ผู้เชี่ยวชาญต่างคาดการณ์ว่าตลาดหุ้นวอลล์สตรีทจะพุ่งขึ้นในช่วงปลายปีนี้ และต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า โดยเศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง หลังสิ้นสุดการแพร่ระบาดของโควิด-19
"คุณมาร์ก เซบาสเตียนมองว่า ปัจจัยทางเทคนิคบ่งชี้ว่าดัชนี S&P 500 จะดีดตัวขึ้นไปจนถึงสิ้นปีนี้ ซึ่งผมเห็นด้วยกับเขา" นายจิม เครเมอร์ พิธีกรรายการ "Mad Money" ของสถานีข่าว CNBC กล่าว
ทั้งนี้ นายเซบาสเตียน ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์ทางเทคนิค และเป็นผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ OptionPit.com มีความพอใจต่อการปรับตัวของดัชนีความผันผวน CBOE หรือ CBOE Volatility Index (VIX) ซึ่งเป็นมาตรวัดความวิตกของนักลงทุนในตลาดหุ้นวอลล์สตรีท โดยดัชนีดังกล่าวดิ่งลงอย่างรวดเร็ว หลังจากพุ่งขึ้นในช่วงปลายเดือนพ.ย.และต้นเดือนธ.ค.
"ดัชนี VIX บ่งชี้ว่าขณะนี้ผู้จัดการกองทุนรายใหญ่เริ่มกลับมาแล้ว หลังจากตลาดเกิดความผันผวนมาระยะหนึ่ง" นายเครเมอร์กล่าว
นายเครเมอร์กล่าวว่า การทรุดตัวของตลาดหุ้นก่อนหน้านี้ ไม่ได้สร้างความประหลาดใจต่อนายเซบาสเตียน เนื่องจากเขาเคยเตือนเกี่ยวกับการที่ดัชนี VIX ได้เริ่มปรับตัวขึ้นในช่วงปลายเดือนต.ค.ควบคู่กับการดีดตัวขึ้นของดัชนี S&P 500 ในช่วงเดือนพ.ย. ซึ่งบ่งชี้ว่าตลาดหุ้นจะเผชิญแรงเทขายในไม่ช้า "ตราบใดที่ดัชนี VIX ยังคงร่วงลงต่อไป คุณเซบาสเตียนก็มองว่า นี่เป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงซานต้า แรลลี่ที่ผมมักพูดถึง โดยปรากฎการณ์นี้จะเกิดขึ้นในปลายเดือนนี้ และจะส่งให้ดัชนี S&P 500 พุ่งแตะ 5,000 จุด จาก 4,700 จุดในขณะนี้" นายเครเมอร์กล่าว ทั้งนี้ ปรากฎการณ์ "ซานต้า แรลลี่" มักเกิดขึ้นเป็นเวลา 7 วันทำการ โดยมีขึ้นในช่วง 5 วันทำการสุดท้ายของปีปัจจุบัน รวมทั้ง 2 วันแรกของปีใหม่
จากการรวบรวมสถิติการปรับตัวของตลาดหุ้นนิวยอร์กช่วง 7 วันของซานต้า แรลลี่ พบว่า ดัชนีดาวโจนส์สามารถปิดตลาดในแดนบวกถึง 78% นับตั้งแต่ปี 2471
ทางด้านแบงก์ ออฟ อเมริกา เปิดเผยว่า สถิติในอดีตบ่งชี้ว่า เดือนธ.ค.เป็นเดือนที่ตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งขึ้นร้อนแรงมากที่สุดของปี
ข้อมูลระบุว่า ดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้นเฉลี่ย 2.3% ในเดือนธ.ค.นับตั้งแต่ปี 2479 และดัชนีปรับตัวเป็นบวกในเดือนธ.ค.คิดเป็นสัดส่วน 79% นับตั้งแต่ปีดังกล่าว
ด้านนายมาร์โก โคลาโนวิช หัวหน้านักวิเคราะห์ของเจพีมอร์แกน เชส คาดการณ์ว่า ดัชนี S&P 500 จะพุ่งขึ้นเกือบ 8% ในปีหน้า สู่ระดับ 5,050 จุด ขณะที่ตลาดหุ้นเกิดใหม่ทะยานขึ้น 18% ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีดีดตัวแตะ 2.25% ในช่วงสิ้นปี
"เรามองว่าปีหน้าจะเป็นปีที่เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์ ขณะที่การแพร่ระบาดของโควิด-19 ยุติลง และเศรษฐกิจกลับสู่ภาวะปกติ โดยสภาวะตลาดกลับสู่ช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19" นายโคลาโนวิชกล่าว
นอกจากนี้ นายโคลาโนวิชกล่าวว่า นักลงทุนสามารถเชื่อมั่นในการดีดตัวของตลาดหุ้นวอลล์สตรีทในรอบนี้
"ตลาดได้ตื่นตระหนกจนเกินเหตุเมื่อได้ทรุดตัวลงในช่วงเทศกาลขอบคุณพระเจ้า หลังมีข่าวการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน โดยนักลงทุนแห่เทขายหุ้นอย่างรวดเร็วจากข่าวซึ่งเชื่อถือไม่ได้ และขณะนี้ตลาดก็ได้ฟื้นตัวขึ้นแล้ว" นายโคลาโนวิชกล่าว
นายโคลาโนวิชออกรายงานระบุว่า ภาวะตลาดที่ปั่นป่วนในขณะนี้ ซึ่งมีสาเหตุจากไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนอาจเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนในการเข้าช้อนซื้อหุ้นกลุ่มเปิดประเทศและกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์
"แม้ว่าโอมิครอนจะระบาดได้รวดเร็วกว่า แต่รายงานก็บ่งชี้ว่าสายพันธุ์นี้มีความรุนแรงน้อยกว่า ซึ่งสอดคล้องกับรูปแบบวิวัฒนาการของไวรัสในอดีต และเรื่องนี้ถือเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดสินทรัพย์เสี่ยง เนื่องจากเป็นการส่งสัญญาณว่าการแพร่ระบาดใกล้ยุติแล้ว" รายงานระบุ
"โอมิครอนสอดคล้องกับรูปแบบในอดีตที่บ่งชี้ว่า ไวรัสที่มีการแพร่ระบาดมากกว่า แต่มีความรุนแรงน้อยกว่า จะเข้ามาแทนที่ไวรัสสายพันธุ์ที่มีความรุนแรงมากกว่า ซึ่งจะทำให้โอมิครอนเป็นตัวเร่งให้การแพร่ระบาดอย่างรุนแรงของโควิด-19 กลายเป็นเพียงบางสิ่งที่คล้ายกับโรคไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลเท่านั้น"
"ถ้าสถานการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น แทนที่ WHO ตั้งชื่อไวรัสสายพันธุ์ล่าสุดนี้ว่า โอมิครอน โดยข้ามอักษรกรีกไป 2 ตัว WHO ควรจะข้ามอักษรกรีกไปทุกตัว และตั้งชื่อไวรัสนี้ว่า โอเมกา ซึ่งเป็นอักษรกรีกตัวสุดท้าย"
"โอมิครอนอาจเป็นตัวเร่งให้เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรชันขึ้น ไม่ใช่แบนราบลง และทำให้นักลงทุนถอนตัวออกจากหุ้นในกลุ่ม growth stock เพื่อเข้าซื้อกลุ่ม value stock และมีการเทขายหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากโควิดและมาตรการล็อกดาวน์ ขณะที่ทำให้หุ้นกลุ่มเปิดประเทศดีดตัวขึ้น โดยเรามองว่าการเทขายหุ้นในกลุ่มเหล่านี้ในช่วงที่ผ่านมา ถือเป็นโอกาสที่นักลงทุนจะเข้าช้อนซื้อหุ้นกลุ่มวัฏจักร, กลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ และกลุ่มเปิดประเทศ และปรับโพสิชั่นสำหรับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่จะดีดตัวและสูงชันขึ้น" รายงานระบุ
นายโคลาโนวิชยังระบุว่า ตลาดได้ปรับตัวรุนแรงเกินไปต่อการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์เดลตาก่อนหน้านี้