ผู้เชี่ยวชาญต่างมีความกังวลต่อแนวโน้มตลาดหุ้นวอลล์สตรีทในช่วงปลายปีนี้ ท่ามกลางการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน
"การคาดการณ์เรื่องซานต้าแรลลี่ในปีนี้เป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะตลาดได้ขึ้นมามากแล้วในขณะนี้ นอกจากนี้ ปริมาณการซื้อขายจะเบาบางลง ซึ่งจะทำให้ความผันผวนมากขึ้นในช่วงท้ายปี ขณะที่นักลงทุนมีความกังวลสูงเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของสายพันธุ์โอมิครอน และการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด" นายไมเคิล เอโรน หัวหน้านักวิเคราะห์ของสเตท สตรีท โกลบอล แอดไวเซอร์ กล่าว
ส่วนนายเจฟฟ์ ไคลน์ท็อป หัวหน้านักวิเคราะห์จากชาร์ลส์ ชเวบ กล่าวว่า "ขณะที่เราก้าวเข้าสู่ช่วง 2 สัปดาห์สุดท้ายของปีนี้ วอลุ่มการซื้อขายจะลดน้อยลง ขณะที่ความผันผวนจะมีมากขึ้น และแม้อาจเกิดซานต้าแรลลี่ แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่าปริมาณการซื้อขายที่เบาบางจะทำให้ตลาดแกว่งตัวในช่วงขาลงเช่นกัน"
"เป็นเรื่องยากที่จะคาดการณ์ภาวะตลาดในช่วงปลายปี อันเนื่องจากปริมาณการซื้อขายที่ซบเซา และการขาดปัจจัยหนุนจากข่าวด้านเศรษฐกิจหรือข่าวภาคธุรกิจที่จะกระตุ้นตลาด ทำให้ดัชนีถูกขับเคลื่อนจากข่าวเกี่ยวกับโอมิครอนเป็นหลัก" นายไคลน์ท็อปกล่าว
ดัชนี S&P 500 ดิ่งลงเกือบ 2% เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน และการเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
อย่างไรก็ดี S&P 500 ยังคงดีดตัวขึ้น 1.2% เมื่อเทียบกับต้นเดือนธ.ค. และพุ่งขึ้น 23% จากต้นปี 2564
ที่ผ่านมา ปรากฎการณ์ "ซานต้า แรลลี่" มักเกิดขึ้นเป็นเวลา 7 วันทำการ โดยมีขึ้นในช่วง 5 วันทำการสุดท้ายของปีปัจจุบัน รวมทั้ง 2 วันแรกของปีใหม่
จากการรวบรวมสถิติการปรับตัวของตลาดหุ้นนิวยอร์กช่วง 7 วันของซานต้า แรลลี่ พบว่า ดัชนีดาวโจนส์สามารถปิดตลาดในแดนบวกถึง 78% นับตั้งแต่ปี 2471