นายสตีเฟน เบิร์ด ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทอเบอร์ดีนเปิดเผยว่า มูลค่าตลาดหุ้นอินเดียและจีนอาจโตมากถึง 4 เท่าภายในปี 2593 เนื่องจากเอเชียได้เปลี่ยนจากการเป็น "ผู้รั้งท้ายสู่การเป็นผู้นำ" ในด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ในจดหมายเนื่องในโอกาสครบรอบ 30 ปีที่อเบอร์ดีนซึ่งเป็นวาณิชธนกิจสัญชาติอังกฤษเปิดสำนักงานแห่งแรกของเอเชียในสิงคโปร์นั้น นายเบิร์ดได้กล่าวชื่นชมการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจตลอดช่วง 3 ทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งมีประชาชนมากกว่า 1 ล้านคนที่หลุดพ้นจากความยากจน
นายเบิร์ดกล่าวด้วยว่า สัดส่วนของภูมิภาคเอเชียในเศรษฐกิจโลกมีขนาดใหญ่ขึ้นถึง 8 เท่าเมื่อเทียบกับในช่วงที่เกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินเอเชียเมื่อปี 2540
"ตลาดทุนพัฒนาขึ้น โดยภูมิภาคเอเชียได้เปลี่ยนจากจุดหมายปลายทางสำหรับนักลงทุนต่างชาติเป็นส่วนใหญ่ สู่การเป็นสถานที่ที่นักลงทุนท้องถิ่นเป็นผู้ครองตลาด" นายเบิร์ดกล่าว
นายเบิร์ดระบุว่า "ในช่วง 30 ปีข้างหน้ามีแนวโน้มที่จะน่าตื่นเต้นเช่นเดียวกับช่วง 30 ปีที่ผ่านมา" โดยแนะนำนักลงทุนไม่ให้ตื่นตระหนกในช่วงที่เกิดความผันผวนในตลาดและคอยจับตาทิศทางตลาดในระยะยาว
สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า หุ้นจีนนั้นต้องเผชิญกับปีที่ยากลำบาก เนื่องจากกลยุทธ์โควิดเป็นศูนย์ (Zero-Covid) ของประธานาธิบดีสี จิ้นผิงได้จำกัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และทำให้เกิดภาวะคอขวดด้านห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งสร้างแรงกระเพื่อมเป็นวงกว้างไปยังตลาดทั่วโลก
"จีนและอินเดียมีแนวโน้มกลายเป็นประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดอันดับหนึ่งและสามของโลกในช่วงทศวรรษหน้า ในขณะที่ผู้บริโภคของทั้งสองประเทศจะเป็นปัจจัยควบคุมรสนิยมและกระแสโลกมากขึ้น ขณะที่มูลค่าตลาดหุ้นของทั้งสองประเทศจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 4 เท่าภายในปี 2593" นายเบิร์ดคาดการณ์