ดัชนีชี้วัดความวิตกของนักลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐและยุโรปพุ่งขึ้นในวันนี้ ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) ต่างยืนยันว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป แม้ส่งผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ ดัชนี CBOE หรือ CBOE Volatility Index (VIX) ซึ่งเป็นมาตรวัดความวิตกของนักลงทุนในตลาดหุ้นวอลล์สตรีท พุ่งขึ้น 7.98% สู่ระดับ 27.61 จุด ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 14 ก.ค.
ส่วนดัชนี STOXX 50 volatility index ซึ่งเป็นมาตรวัดความวิตกของนักลงทุนในตลาดหุ้นยุโรป ดีดตัวขึ้น 2.7 จุด สู่ระดับ 29.606 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 19 ก.ค.
นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด กล่าวว่า ภารกิจของเฟดในการต่อสู้กับเงินเฟ้อยังไม่เสร็จสิ้น โดยเฟดจะยังคุมเข้มนโยบายการเงินต่อไป ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจและตลาดแรงงานของสหรัฐ
"เราจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป จนกว่าจะมั่นใจว่าภารกิจของเราจะประสบความสำเร็จ โดยภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจอาจได้รับผลกระทบจากการที่เฟดยังคงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย แต่ความล้มเหลวในการรักษาเสถียรภาพของราคาจะทำให้เกิดผลกระทบมากกว่า" นายพาวเวลกล่าวในการประชุมประจำปีของเฟดที่เมืองแจ็กสัน โฮล
นอกจากนี้ นายพาวเวลกล่าวว่า เฟดยังคงจำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป และเฟดจะไม่ตัดทางเลือกในการ "ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งใหญ่มากกว่าปกติ" ในเดือนก.ย.
ทางด้านนางอิสซาเบล ชนาเบล กรรมการ ECB ระบุเช่นกันว่า ECB จะใช้นโยบายการเงินอย่างเข้มงวดเพื่อสกัดเงินเฟ้อ แม้ว่าการดำเนินการดังกล่าวอาจส่งผลกระทบทำให้เศรษฐกิจเผชิญภาวะถดถอย