ตลาดหุ้นทั่วโลกปิดฉากการซื้อขายปี 2565 ในวันนี้ โดยพบว่าตลาดหุ้นทุกภูมิภาคต่างปรับตัวลงอย่างหนัก ท่ามกลางปัจจัยลบที่ถาโถมเข้าตลาด
สำหรับทิศทางของตลาดในปีหน้า นักวิเคราะห์แสดงความเห็นว่าตลาดยังคงถูกกดดันจากเงินเฟ้อ, ความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์จากสงครามรัสเซีย-ยูเครน และความขัดแย้งในช่องแคบไต้หวัน รวมทั้งการกลับมาแพร่ระบาดของโควิด-19 หลังจากที่จีนผ่อนคลายมาตรการโควิดเป็นศูนย์ และกลับมาเปิดประเทศอีกครั้ง
"สิ่งที่เกิดขึ้นในปีนี้ถูกผลักดันโดยเฟดจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยและปรับลดขนาดงบดุล ส่วนในปีหน้า ผมคิดว่าเฟดจะไม่ได้เป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนตลาด แต่จะเป็นเรื่องของบริษัทจดทะเบียน และปัจจัยพื้นฐาน โดยบริษัทที่มีผลประกอบการดีจะดีดตัวขึ้น" นายแพทริก อาร์มสตรอง หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของ Plurimi Wealth LLP กล่าว
ในการซื้อขายปีนี้ ดัชนี MSCI world equity index ดิ่งลง 20% ซึ่งเป็นการทรุดตัวลงหนักที่สุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤตการเงินโลกในปี 2551 ซึ่งในปีดังกล่าวดัชนีร่วงลงกว่า 40%
ส่วนดัชนี MSCI Asia-Pacific ex-Japan ปรับตัวลง 19% ในปีนี้ ซึ่งเป็นการปรับตัวย่ำแย่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 2551 เช่นกัน
ด้านตลาดหุ้นสหรัฐทำสถิติดิ่งลงมากที่สุดเมื่อเทียบรายปีนับตั้งแต่ปี 2551 หลังจากที่ดีดตัวขึ้น 3 ปีติดต่อกัน โดยขณะนี้ ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลง 8.58% นับตั้งแต่ต้นปี 2565 ส่วนดัชนี S&P 500 และ Nasdaq ทรุดตัวลง 19.24% และ 33.03% ตามลำดับ
ขณะเดียวกัน ตลาดหุ้นยุโรปดิ่งลงมากที่สุดเมื่อเทียบรายปีนับตั้งแต่ปี 2561 โดยดัชนี Stoxx 600 ร่วงลงมากกว่า 12% นับตั้งแต่ต้นปีนี้
นักลงทุนคาดหวังในช่วงต้นปีนี้ว่า ตลาดหุ้นจะปรับตัวสดใส ขณะที่เศรษฐกิจจะฟื้นตัวขึ้น หลังประเทศต่างๆผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ ซึ่งช่วยกระตุ้นอุปสงค์ และแก้ไขปัญหาห่วงโซ่อุปทาน
อย่างไรก็ดี หลังจากที่รัสเซียประกาศบุกโจมตียูเครนในวันที่ 24 ก.พ. ทำให้สหรัฐและชาติตะวันตกออกมาตรการคว่ำบาตรรัสเซีย ทำให้ทั่วโลกเกิดการขาดแคลนพลังงานและอาหารอย่างหนัก และเป็นสาเหตุที่ทำให้เงินเฟ้อพุ่งขึ้น จนทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และธนาคารกลางทั่วโลกเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ ส่งผลให้ตลาดหุ้นโลกเกิดความพลิกผัน และปรับตัวลงอย่างหนักในปีนี้