สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า กำไรสุทธิประจำไตรมาสที่ 4/2566 ลดลง 50% เมื่อเทียบเป็นรายปี สู่ระดับ 1.07 พันล้านยูโร (1.16 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยที่นักวิเคราะห์ 15 คนที่รวบรวมโดยบีเอ็นพีคาดการณ์ไว้ที่ 1.74 พันล้านยูโร
ผลประกอบการที่ต่ำกว่าคาดการณ์นี้ ส่วนหนึ่งมาจากการที่บีเอ็นพีกันเงินสำรอง 645 ล้านยูโร เพื่อชดเชยการขาดทุนที่เกี่ยวข้องกับ "ความเสี่ยงด้านตราสารทางการเงิน"
ครึ่งหนึ่งของเงินสำรองดังกล่าวเกี่ยวข้องกับคดีฟ้องร้องเรื่องการจำนองเป็นสกุลเงินฟรังก์สวิสในโปแลนด์ ซึ่งส่งผลให้ผู้จำนองต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงเมื่อฟรังก์สวิสแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินซวอตือของโปแลนด์
เมื่อปีที่แล้ว ศาลยุติธรรมสูงสุดของยุโรปมีคำตัดสินเป็นประโยชน์ต่อฝ่ายผู้จำนอง โดยมอบอำนาจให้พวกเขาสามารถฟ้องร้องเพื่อเรียกคืนเงินบางส่วนที่ชำระไปแล้วได้
ทั้งนี้ ยอดขายรวมไตรมาสที่ 4/66 ของบีเอ็นพีอยู่ที่ 1.09 หมื่นล้านยูโร เพิ่มขึ้น 0.1% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 1.14 หมื่นล้านยูโร
ธนาคารฯ ปรับลดเป้าหมายอัตราผลตอบแทนจากส่วนของผู้ถือหุ้นที่จับต้องได้ (ROTE) สำหรับปี 2568 จากประมาณ 12% ลงมาอยู่ระหว่าง 11.5%-12% โดยระบุว่าจะไม่สามารถบรรลุเป้าหมาย 12% ได้จนกว่าจะถึงปี 2569 เนื่องจากกฎระเบียบกำหนดให้ต้องมีเงินสำรองสูงขึ้นและเผชิญแรงกดดันให้ต้องเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก
นอกจากนี้ บีเอ็นพียังปรับลดเป้าหมายอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิเฉลี่ยต่อปีในช่วงปี 2565 ถึง 2568 จากเดิมที่มากกว่า 9% ลดลงเหลือประมาณ 8% อีกด้วย
อนึ่ง บีเอ็นพียังยืนยันเป้าหมายอื่น ๆ ตามเดิม รวมถึงอัตราส่วนเงินปันผลต่อกำไรที่ 60% และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ส่วนที่เป็นของเจ้าของ (CET1) ที่ 12% ในปี 2568