ศาลกรุงโซลมีกำหนดประกาศคำตัดสินในวันนี้ (5 ก.พ.) เกี่ยวกับนายอี แจยง ประธานบริษัทซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ในข้อหาปั่นหุ้นและตกแต่งบัญชีในการควบรวมกิจการในเครือซัมซุง 2 แห่งเมื่อปี 2558
สำนักข่าวยอนฮัปรายงานว่า ศาลแขวงกลางกรุงโซลมีกำหนดการพิจารณาพิพากษาคดีของนายอีในเวลา 14:00 น.ของวันนี้ตามเวลาท้องถิ่น หรือ 12:00 น.ของวันนี้ตามเวลาในไทย ซึ่งนับเป็นเวลา 3 ปี 5 เดือนแล้วหลังจากที่ประธานบริษัทซัมซุงรายนี้ถูกฟ้องร้องในคดีการควบรวมกิจการระหว่างบริษัทเชอิล อินดัสตรีส์ อิงค์ (Cheil Industries Inc.) และบริษัทซัมซุง ซี แอนด์ ที คอร์ป (Samsung C&T Corp.)
นายอีถูกฟ้องในข้อหาปั่นราคาหุ้น การละเมิดทรัสต์ (Breach of Trust) และตกแต่งบัญชีในช่วงการควบรวมกิจการเมื่อปี 2558 โดยมีการเสนอหุ้นซัมซุง ซี แอนด์ ที 3 หุ้น แลกกับหุ้นเชอิล 1 หุ้น
อัยการตั้งข้อสงสัยว่าเครือซัมซุงได้ปั่นราคาในตลาดหุ้นเพื่อที่จะโก่งราคาหุ้นเชอิลและกดราคาหุ้นซัมซุง ซี แอนด์ ที ผ่านการกระทำที่ไม่เป็นธรรมหลายประการ เช่น การเผยแพร่ข้อมูลตลาดที่เป็นเท็จ การซื้อหุ้นบริษัทในเครือเป็นจำนวนมาก และการล็อบบี้ให้กองทุนสำรองเลี้ยงชีพแห่งชาติ (NPS) สนับสนุนการควบรวมกิจการ เนื่องจาก NPS เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของซัมซุง ซี แอนด์ ที
นอกจากนี้ อัยการยังตั้งข้อสงสัยว่า ความผิดปกติดังกล่าวเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2555 เพื่อเอื้อประโยชน์ของนายอี ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดในเชอิลที่สัดส่วน 23.2% และเพื่อช่วยให้นายอีได้เพิ่มอำนาจควบคุมซัมซุง ซี แอนด์ ที ซึ่งเป็นบริษัทโฮลดิ้งโดยพฤตินัยของซัมซุง กรุ๊ป
การควบรวมกิจการดังกล่าวถูกมองว่ามีความสำคัญต่อการสืบทอดอำนาจของนายอีในฐานะทายาทของเครือบริษัทซัมซุงที่ควบคุมโดยครอบครัว ขณะที่นายอี กอนฮี ผู้เป็นบิดา ประสบภาวะหัวใจวายในปี 2557
อัยการสรุปว่าการกดราคาหุ้นซัมซุง ซี แอนด์ ที ที่นายอีต้องสงสัยว่าเป็นผู้กระทำนั้น ส่งผลให้นักลงทุนรายอื่น ๆ ขาดทุน
นอกจากนี้ นายอียังถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการตกแต่งบัญชีบริษัทซัมซุง ไบโอโลจิกส์ (Samsung Biologics) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือเชอิล อินดัสตรีส์ อีกด้วย
อัยการเรียกร้องให้ลงโทษนายอีจำคุก 5 ปี พร้อมปรับ 500 ล้านวอน (373,550 ดอลลาร์สหรัฐ) โดยระบุว่าเขาเป็นผู้บงการรายใหญ่สุดต่อแผนการปั่นหุ้นดังกล่าว
อย่างไรก็ดี นายอีปฏิเสธข้อกล่าวหา โดยอ้างว่าผลประโยชน์ส่วนตัวของเขาไม่ได้ถูกนำมาพิจารณาในระหว่างการควบรวมกิจการของบริษัทในเครือ นอกจากนี้ นายอียังอุทธรณ์ต่อศาลขอให้ยกฟ้องเขาเพื่อที่เขาจะได้ "ทุ่มเททรัพยากรทั้งหมดในการขับเคลื่อนบริษัทไปข้างหน้า"