ธนาคารเจพีมอร์แกน เชส (JPMorgan Chase) เปิดเผยผลประกอบการในวันนี้ (12 เม.ย.) ว่า มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 6% ในไตรมาสแรก แต่ราคาหุ้นร่วงลงหลังจากที่เจพีมอร์แกนประมาณการรายได้ดอกเบี้ยต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ต้นทุนการกู้ยืมที่สูงช่วยให้ธนาคารต่าง ๆ มีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NII) เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ เจพีมอร์แกน ซึ่งเป็นธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐเมื่อวัดจากมูลค่าสินทรัพย์ ยังได้เพิ่มเงินกู้มูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ลงในงบดุลหลังจากเข้าซื้อกิจการธนาคารเฟิร์สท์ รีพับลิค แบงก์ (First Republic Bank) ที่ล้มละลายเมื่อเดือนพ.ค.ปีที่แล้ว ส่งผลให้รายได้ดอกเบี้ยของเจพีมอร์แกนเพิ่มสูงขึ้นอีก
เจพีมอร์แกนคาดว่า หากไม่รวมกำไรขาดทุนจากการซื้อขาย NII ตลอดทั้งปีนี้จะอยู่ที่ 8.9 หมื่นล้านดอลลาร์ ขึ้นอยู่กับความผันผวนของตลาด ซึ่งสูงกว่าประมาณการก่อนหน้านี้ที่ 8.8 หมื่นล้านดอลลาร์ แต่ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 9.068 หมื่นล้านดอลลาร์ ตามข้อมูลของ LSEG
หลังการเปิดเผยผลประกอบการ หุ้นเจพีมอร์แกนร่วงลง 2% ในช่วงการซื้อขายก่อนเปิดตลาด โดยฝ่ายบริหารของธนาคารได้ออกมาเตือนเป็นเวลาหลายเดือนแล้วว่า NII ที่พุ่งสูงขึ้นนั้นไม่ยั่งยืน
ทั้งนี้ กำไรสุทธิอยู่ที่ 1.342 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือ 4.44 ดอลลาร์ต่อหุ้น สำหรับช่วงสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค. สูงกว่า 1.262 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือ 4.10 ดอลลาร์ต่อหุ้นในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า
ขณะเดียวกัน NII เพิ่มขึ้น 11% เป็น 2.32 หมื่นล้านดอลลาร์ หากไม่รวมผลกระทบจากเฟิร์สท์ รีพับลิค ก็ยังสูงกว่าปีที่แล้ว 5% โดยเจพีมอร์แกนตั้งสำรองเป็นค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิต 1.88 พันล้านดอลลาร์ ลดลงจาก 2.28 พันล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว
รายได้รวมของเจพีมอร์แกนเพิ่มขึ้น 9% เป็น 4.193 หมื่นล้านดอลลาร์