โนเกีย (Nokia) บริษัทโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่ของฟินแลนด์ รายงานว่า ผลกำไรจากการดำเนินงานลดลง 32% ในไตรมาสที่สอง เนื่องจากความต้องการอุปกรณ์โทรคมนาคม 5G ที่อ่อนแอลง แต่โนเกียกล่าวว่ายอดขายน่าจะฟื้นตัวในช่วงปลายปี 2567 ด้วยแรงหนุนจากคำสั่งซื้อจากอเมริกาเหนือ
กำไร ซึ่งไม่รวมค่าใช้จ่ายบางรายการและการประเมินมูลค่าสินทรัพย์ใหม่เพื่อให้เทียบเคียงได้กับผลประกอบการของปีที่แล้ว ลดลงเหลือ 423 ล้านยูโร (462.38 ล้านดอลลาร์) จาก 619 ล้านยูโรในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ทั้งโนเกียและคู่แข่งอย่างอีริคสัน (Ericsson) ต่างได้รับผลกระทบจากลูกค้าที่ซื้ออุปกรณ์โทรคมนาคมน้อยลง และได้ประกาศเลิกจ้างพนักงานหลายพันคนเพื่อรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว
ยอดขายสุทธิลดลง 18% เมื่อเทียบเป็นรายปี เนื่องจากอัตราการลงทุนในเทคโนโลยี 5G ในอินเดีย ซึ่งเป็นตลาดสำคัญ ชะลอตัวลงหลังจากเติบโตอย่างรวดเร็วในปีก่อนหน้า
นักวิเคราะห์ของเจฟเฟอรีส์ (Jefferies) กล่าวว่าทั้งยอดขายและกำไรต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้เมื่อไม่รวมรายการพิเศษ
หุ้นของโนเกียร่วงลง 8% ณ เวลา 14.18 น. ของวันนี้ ตามเวลาไทย
นายเพ็กกา ลุนด์มาร์ก ซีอีโอโนเกีย กล่าวว่ายอดขายใช้เวลาในการฟื้นตัวนานกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ แต่คาดว่ายอดขายสุทธิจะฟื้นตัวเร็วขึ้นมากในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ด้านอีริคสันก็คาดการณ์ไว้ในลักษณะเดียวกันเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
นายลุนด์มาร์กชี้ให้เห็นว่า ตลาดไฟเบอร์กำลังปรับตัวดีขึ้นในสหรัฐ และโนเกียได้ประโยชน์จากโครงการของรัฐบาลสหรัฐมูลค่า 4.2 หมื่นล้านดอลลาร์เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ความเร็วสูง
"นั่นกำลังสร้างพลวัตที่น่าสนใจเพิ่มเติมให้กับเราในขณะนี้ เพราะเห็นได้ชัดว่าเราเป็นผู้บุกเบิกตลาดด้วยกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่สอดคล้องกับข้อกำหนด 'ซื้อของอเมริกา'" นายลุนด์มาร์กกล่าวกับสำนักข่าวรอยเตอร์ พร้อมเสริมว่า ปัจจัยบวกเหล่านี้จะสะท้อนออกมาในปีหน้า
ในยุโรป โนเกียและอีริคสันอาจได้รับอานิสงส์ หลังจากที่เยอรมนีตัดสินใจแบนบริษัทจีนอย่างหัวเว่ย (Huawei) หรือแซดทีอี (ZTE) ไม่ให้จำหน่ายผลิตภัณฑ์เครือข่าย 5G ของประเทศตั้งแต่ปี 2572
นายลุนด์มาร์กกล่าวว่าโนเกียยังคงศึกษาผลกระทบจากการตัดสินใจดังกล่าวของเยอรมนี
โนเกียยังคงยืนยันตัวเลขคาดการณ์ผลกำไรจากการดำเนินงานที่ปรับปรุงแล้วตลอดทั้งปีไว้ตามเดิม แต่นักวิเคราะห์ของอินเดเรส (Inderes) กล่าวว่าแนวโน้มดังกล่าวยังคงอยู่ภายใต้แรงกดดันจนถึงสิ้นปี