แมคโดนัลด์ (McDonald's) ประกาศผลประกอบการในวันนี้ (29 ก.ค.) ว่า ยอดขายทั่วโลกลดลงครั้งแรกในรอบ 13 ไตรมาส สาเหตุมาจากผู้บริโภคที่มองหาข้อเสนอสุดคุ้ม ต่างพากันเมินเมนูที่ราคาแพงขึ้น รวมถึงบิ๊กแมคด้วย
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ภาวะเงินเฟ้อที่ยืดเยื้อส่งผลให้ผู้บริโภคที่มีรายได้น้อยต้องหันไปเลือกอาหารราคาประหยัดที่บ้านมากขึ้น สถานการณ์นี้ทำให้ร้านฟาสต์ฟู้ดชื่อดังอย่างแมคโดนัลด์, เบอร์เกอร์คิง (Burger King), เวนดี้ส์ (Wendy's) และทาโก้ เบลล์ (Taco Bell) หันมาเน้นเมนูชุดสุดคุ้มเพื่อดึงดูดลูกค้า
หุ้นของแมคโดนัลด์ที่ร่วงลงไปแล้ว 15% ในปีนี้ พุ่งขึ้น 4% ในช่วงเปิดตลาดวันนี้ หลังจากที่ผู้บริหารของบริษัทเปิดเผยว่า โปรโมชั่นชุดอาหารราคา 5 ดอลลาร์ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อปลายเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา มียอดขายสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้
แมคโดนัลด์ประกาศยืนยันเป้าหมายอัตรากำไรจากการดำเนินงานในปี 2567 ที่ระดับ 40% กลางถึงสูง พร้อมทั้งกล่าวว่า บริษัทจะรักษาความสามารถในการทำกำไรด้วยการพิจารณาปรับขึ้นราคาอย่างรอบคอบมากขึ้น
ยอดขายสาขาเดิมทั่วโลก (Same Store Sale Growth) ลดลง 1% ในไตรมาสที่สอง สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้น 0.5% ขณะที่รายได้รวมเพิ่มขึ้น 1%
นายคริส เคมป์ซินสกี ซีอีโอของแมคโดนัลด์ กล่าวว่า ผู้บริโภคในปัจจุบันคิดมากขึ้นในการใช้จ่าย และมองหาดีลสุดคุ้ม "ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในตลาดหลักส่วนใหญ่ของเรายังคงอยู่ในระดับต่ำ"
อนึ่ง แมคโดนัลด์เปิดตัวโปรโมชั่นชุดสุดคุ้ม 5 ดอลลาร์ที่ร้านสาขาส่วนใหญ่ในสหรัฐไปเมื่อวันที่ 25 มิ.ย.ที่ผ่านมา และเตรียมขยายเวลาโปรโมชั่นไปจนถึงเดือนส.ค.นี้ เพื่อดึงดูดลูกค้าที่ลดการกินข้าวนอกบ้าน
"ผลกระทบที่ใหญ่ที่สุดต่อแมคโดนัลด์คือ กลุ่มลูกค้ารายได้น้อยลดการมาใช้บริการลงอย่างมาก ซึ่งส่งผลกระทบรุนแรงกว่าประโยชน์ที่ได้จากปรากฏการณ์คนหันมาทานอาหารราคาประหยัด (trade down) ที่แมคโดนัลด์มักเห็นในช่วงเศรษฐกิจย่ำแย่" ไบรอัน ยาร์โบรห์ นักวิเคราะห์จากบริษัท Edward Jones กล่าว
แมคโดนัลด์ยังคงยืนยันงบลงทุนตามที่ตั้งเป้าไว้สูงสุด 2.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมากกว่าครึ่งของงบประมาณนี้จะถูกนำไปใช้ในการขยายสาขาใหม่ทั้งในสหรัฐและตลาดต่างประเทศ
ในไตรมาสที่สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิ.ย. ยอดขายสาขาเดิมในสหรัฐของแมคโดนัลด์หดตัวลง 0.7% สวนทางกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วที่เคยพุ่งสูงถึง 10.3% ขณะที่ยอดขายในตลาดต่างประเทศ ซึ่งคิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของรายได้ในปี 2566 ลดลง 1.1% นำโดยฝรั่งเศสที่ยอดขายอ่อนแอลง
การฟื้นตัวที่ช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ในประเทศจีน และความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของธุรกิจแฟรนไชส์ของแมคโดนัลด์ โดยยอดขายลดลง 1.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่เติบโตถึง 14%
ทั้งนี้ บริษัทอย่างแมคโดนัลด์และสตาร์บัคส์ (Starbucks) ต่างกำลังเผชิญปัญหายอดขายตกในตลาดตะวันออกกลาง เหตุถูกผู้บริโภคคว่ำบาตรจากกรณีสงครามกาซา
แมคโดนัลด์มีกำไรสุทธิต่อหุ้นที่ปรับค่าแล้วที่ 2.97 ดอลลาร์ในไตรมาสที่สอง ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 3.07 ดอลลาร์