เบิร์กเชียร์ แฮธาเวย์ (Berkshire Hathaway) ของมหาเศรษฐีวอร์เรน บัฟเฟตต์ เทขายหุ้นแบงก์ออฟอเมริกา (BofA) เพิ่มเติมในสัปดาห์นี้ ส่งผลให้สัดส่วนการถือหุ้นในยักษ์ใหญ่แห่งวงการธนาคารสหรัฐฯ ลดลงต่ำกว่า 10%
เอกสารที่ยื่นต่อหน่วยงานกำกับดูแลเมื่อวันพฤหัสบดี (10 ต.ค.) ระบุว่า เบิร์กเชียร์ขายหุ้น BofA ไป 9.5 ล้านหุ้น มูลค่า 382.4 ล้านดอลลาร์ในสัปดาห์นี้
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ (SEC) กำหนดให้ผู้ถือหุ้นที่มีหุ้นในบริษัทมากกว่า 10% ต้องเปิดเผยข้อมูลการซื้อขายหุ้นภายใน 2 วันทำการ
ณ จุดนี้ นักลงทุนใน BofA คงต้องรอรายงานทางการเงินรายไตรมาสหรือรายงานการถือครองหุ้นรายไตรมาสของเบิร์กเชียร์ เพื่อติดตามว่าบริษัทจากโอมาฮา รัฐเนแบรสกาแห่งนี้ได้ขายหุ้น BofA เพิ่มเติมอีกหรือไม่
เบิร์กเชียร์เริ่มลดสัดส่วนการถือครองหุ้น BofA ตั้งแต่กลางเดือนก.ค. โดยขายหุ้นไปประมาณ 33.9 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1.48 พันล้านดอลลาร์ ก่อนหน้านั้น บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านการลงทุนแห่งนี้ทำกำไรจากหุ้น BofA ไปแล้วกว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์
อย่างไรก็ตาม BofA ไม่ใช่หุ้นตัวเดียวที่บัฟเฟตต์ขายทิ้งเมื่อเร็ว ๆ นี้ โดยก่อนหน้านี้ในปีนี้ เบิร์กเชียร์ยังลดสัดส่วนการถือหุ้นในแอปเปิ้ล (Apple) ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีลงครึ่งหนึ่งอีกด้วย
ในการประชุมประจำปีของเบิร์กเชียร์ แฮธาเวย์ เมื่อเดือนพ.ค. บัฟเฟตต์กล่าวว่า การขายหุ้นเป็นเรื่องสมเหตุสมผล เนื่องจากอัตราภาษีกำไรจากการขายหุ้นของรัฐบาลกลางอาจเพิ่มขึ้น ขึ้นอยู่กับว่าใครจะชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
บัฟเฟตต์ หนึ่งในนักลงทุนที่ได้รับการยกย่องมากที่สุดในโลก เริ่มลงทุนใน BofA ครั้งแรกในปี 2554 ด้วยการซื้อหุ้นบุริมสิทธิมูลค่า 5 พันล้านดอลลาร์
ทั้งนี้ BofA จะรายงานผลประกอบการในสัปดาห์หน้า พร้อมกับซิตี้กรุ๊ป (Citigroup) โดยนักลงทุนกำลังจับตาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากต้นทุนเงินฝากที่สูงขึ้นและความต้องการสินเชื่อที่ซบเซา