ผลสำรวจซึ่งจัดทำโดยแอลเอสอีจี ไอบีอีเอส (LSEG IBES) ระบุว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะพุ่งขึ้นอีกในปี 2568 หลังจากปรับตัวขึ้นติดต่อกัน 2 ปี โดยได้ปัจจัยบวกจากภาวะเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งซึ่งช่วยหนุนกำไรของบริษัทจดทะเบียน รวมทั้งอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับปานกลาง และนโยบายสนับสนุนเศรษฐกิจจากโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ
นับตั้งแต่ต้นปี 2567 ดัชนี S&P500 พุ่งขึ้นกว่า 23% และมีแนวโน้มที่จะปรับตัวขึ้นมากกว่า 20% ติดต่อกันเป็นปีที่สอง โดยได้แรงหนุนจากหุ้นบริษัทเทคโนโลยีที่มีมาร์เก็ตแคปสูง และจากการที่ภาคธุรกิจตอบรับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI)
ผลสำรวจยังระบุด้วยว่า นักลงทุนมีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจมากกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยผู้บริโภคและภาคธุรกิจสามารถปรับตัวกับภาวะอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น และขณะนี้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) กำลังปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง แม้จะปรับลงไม่มากเท่าที่คาดการณ์ไว้ก็ตาม ขณะเดียวกันนักลงทุนคาดการณ์ว่า กำไรของบริษัทจดทะเบียนจะแข็งแกร่งมากขึ้น โดยคาดว่ากำไรของบริษัทในดัชนี S&P500 จะเพิ่มขึ้น 14% ในปี 2568
อย่างไรก็ดี เงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูง และนักลงทุนในตลาดวอลล์สตรีทต่างระมัดระวังว่าการปรับตัวขึ้นของเงินเฟ้ออาจจะส่งผลให้เฟดเปลี่ยนแปลงแนวทางในวัฏจักรการผ่อนคลายนโยบายการเงิน ยกตัวอย่างเมื่อวันพุธที่ผ่านมา (18 ธ.ค.) ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ร่วงลงอย่างหนัก หลังจากเฟดส่งสัญญาณชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า เนื่องจากมีความกังวลว่าเงินเฟ้อจะปรับตัวสูงขึ้น โดยโอกาสที่เงินเฟ้อจะปรับตัวสูงขึ้นนั้น มีมากขึ้นหากทรัมป์บังคับใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้า ซึ่งจะส่งผลให้ราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้น และทำให้เงินเฟ้อดีดตัวขึ้นด้วย
ทั้งนี้ ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงกว่า 1,000 จุดเมื่อวันพุธที่ผ่านมา หลังจากเฟดมีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นลง 0.25% สู่ระดับ 4.25-4.50% แต่ในการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) นั้น เจ้าหน้าที่เฟดส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปี 2568 ลงเพียง 2 ครั้ง ครั้งละ 0.25% รวม 0.50% จากเดิมที่ส่งสัญญาณในเดือนก.ย.ว่าจะปรับลดดอกเบี้ย 4 ครั้ง ครั้งละ 0.25% รวม 1.00% ในปี 2568