นักลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียมีมุมมองค่อนข้างลบต่อตลาดในช่วงต้นปี 2568 เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของการที่โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ให้คำมั่นว่าจะปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้า รวมทั้งความเสี่ยงจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์
ผลสำรวจความเห็นของนักกลยุทธ์และผู้จัดการกองทุนจำนวน 15 รายซึ่งจัดทำโดยสำนักข่าวบลูมเบิร์กบ่งชี้ว่า ตลาดหุ้นเอเชียมีแนวโน้มที่จะทำผลงานด้อยกว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ อย่างน้อยจนถึงช่วงสิ้นไตรมาสแรกของปีนี้ โดยผู้ที่เข้าร่วมการสำรวจเหล่านี้มองว่านโยบาย "America First" (อเมริกาต้องมาก่อน) ของทรัมป์ จะช่วยกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในสหรัฐฯ อีกทั้งเป็นปัจจัยหนุนค่าเงินดอลลาร์ และจะจำกัดความสามารถของธนาคารกลางต่าง ๆ ในการปรับลดอัตราดอกเบี้ย
ดัชนี MSCI Asia Pacific ปรับตัวขึ้นราว 7% ในปี 2567 ซึ่งน้อยกว่าหนึ่งในสามของดัชนี S&P500 ที่พุ่งขึ้น 23% เนื่องจากกระแสความนิยมเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ทั่วโลกเป็นปัจจัยหนุนหุ้นบริษัทที่มีมาร์เก็ตแคปสูงในสหรัฐฯ ขณะที่นักลงทุนมองว่าในอนาคตอันใกล้นี้ ตลาดหุ้นเอเชียไม่น่าจะตามทันตลาดหุ้นคู่แข่งอย่างสหรัฐฯ แม้มูลค่าของตลาดเอเชียจะอยู่ในระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อเทียบกับมูลค่าของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็ตาม
นักวิเคราะห์จากธนาคารโซซิเอเต้ เจเนเรล คาดการณ์ว่า ตลาดหุ้นเอเชียอาจเผชิญกับ "ช่วงเวลาที่ซบเซา" ในไตรมาสแรกปีนี้ ขณะที่นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์กล่าวว่า การที่สกุลเงินในเอเชียอ่อนค่าลงจะสกัดการไหลเข้าของเม็ดเงินทุนในตลาดหุ้น
"ตลาดหุ้นเอเชียมีแนวโน้มที่จะเผชิญกับความไม่แน่นอนที่เกิดจากนโยบายใหม่ของรัฐบาลทรัมป์" โทโมะ คิโนชิตะ นักกลยุทธ์ด้านการตลาดโลกของบริษัทอินเวสโค แอสเซท แมเนจเมนท์ เจแปน กล่าว
อย่างไรก็ดี แม้ผลสำรวจบ่งชี้ว่านักลงทุนมีมุมมองที่ค่อนข้างลบต่อภาพรวมของตลาดหุ้นเอเชีย แต่ผู้เข้าร่วมการสำรวจประมาณครึ่งหนึ่งกล่าวว่า พวกเขาคาดว่าตลาดหุ้นจีนจะทำผลงานได้ดีกว่าประเทศอื่น ๆ เนื่องจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล