เอชเอสบีซี (HSBC) ปรับลดความน่าลงทุนของหุ้นอินเดียเป็น "คงน้ำหนักการลงทุน" (Neutral) เช่นเดียวกับบรรดาโบรกเกอร์ระดับโลกหลายแห่งที่ลดคำแนะนำลงทุนในหุ้นอินเดีย เนื่องจากคาดว่า เศรษฐกิจอินเดียซึ่งใหญ่สุดเป็นอันดับ 3 ของเอเชียจะชะลอการขยายตัว และมูลค่าหุ้นอินเดียอยู่ในระดับสูง
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า HSBC ได้ปรับลดเป้าหมายดัชนี BSE Sensex ณ สิ้นปี 2568 ลง 5% สู่ระดับ 85,990 จุด ซึ่งบ่งชี้ถึงโอกาสที่ดัชนีจะปรับตัวขึ้นเพียง 10% เมื่อเทียบกับระดับซื้อขายที่ 77,700 จุดในวันนี้ (9 ม.ค.)
"การเติบโตของวัฏจักรเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง และมูลค่าหุ้นที่ระดับสูง ได้สกัดกั้นการปรับตัวขึ้นในระยะสั้น และเรามองว่าผลตอบแทนของตลาดในปี 2568 จะอยู่ในระดับต่ำ" HSBC ระบุ
เมื่อปีที่แล้ว โกลด์แมน แซคส์ (Goldman Sachs) และเบิร์นสไตน์ ควอนท์ (Bernstein Quants) ต่างก็ปรับลดอันดับความน่าลงทุนของหุ้นอินเดีย โดยอ้างถึงการชะลอตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจและธุรกิจ
อย่างไรก็ตาม ยังคงมีหวังในเชิงบวกอยู่บ้าง โดยโบรกเกอร์อย่างซิตี้ (Citi) และมอร์แกน สแตนลีย์ (Morgan Stanley) คาดการณ์ว่า หุ้นอินเดียจะให้ผลตอบแทนในระดับหลักสิบ (double-digit) ขณะที่โมติลัล ออสวาล (Motilal Oswal) มองว่า กำไรของบริษัทจดทะเบียนจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งในปีงบการเงิน 2569
อินเดียคาดการณ์ในเดือนนี้ว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจในปีงบประมาณที่สิ้นสุดเดือนมี.ค.จะอยู่ที่ 6.4% ซึ่งเป็นอัตราที่ชะลอตัวที่สุดในรอบ 4 ปี เนื่องจากภาคการผลิตที่อ่อนแอและการลงทุนด้านธุรกิจลดลง
ทั้งนี้ หลังจากทำสถิติสูงสุดหลายครั้งจนถึงเดือนก.ย.ปีที่แล้ว ดัชนี Sensex และ Nifty 50 ปรับตัวลงเมื่อกองทุนต่างชาติเทขายหุ้นในประเทศที่มีมูลค่าสูง เนื่องจากผลประกอบการรายไตรมาสของบริษัทชั้นนำย่ำแย่ที่สุดในรอบกว่า 4 ปี
ดัชนีดังกล่าวซึ่งปรับตัวขึ้นเป็นปีที่ 9 ติดต่อกันในปี 2567 นั้น ปัจจุบันซื้อขายที่ระดับต่ำกว่าจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์อยู่ประมาณ 10%
HSBC ระบุว่า กลุ่มธนาคารซึ่งมีน้ำหนักมากที่สุดในตลาดหุ้นอินเดีย กำลังเผชิญกับความท้าทาย เนื่องจากมาตรการนโยบายที่เข้มงวดของธนาคารกลางอินเดียทำให้ความต้องการสินเชื่อชะลอตัวลง
นอกจากนี้ การเติบโตของกลุ่มเทคโนโลยีอ่อนแอลงด้วย เนื่องจากอุปสงค์ในต่างประเทศฟื้นตัวช้า นอกจากนี้ แม้ว่าความต้องการในชนบทจะแสดงสัญญาณของการฟื้นตัว แต่การบริโภคในเขตเมืองยังคงซบเซา
อย่างไรก็ตาม HSBC ระบุว่า หุ้นอินเดียยังค่อนข้างปลอดภัยจากสถานการณ์โลกที่ไม่แน่นอน และอาจได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าภายใต้การบริหารของโดนัลด์ ทรัมป์ที่กำลังจะเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในวันที่ 20 ม.ค.นี้