ราคาหุ้นของบริษัท แอปเปิ้ล อิงค์ และบริษัท เมตา แพลตฟอร์มส์ อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของเฟซบุ๊กและอินสตาแกรม ต่างดีดตัวขึ้นในการซื้อขายที่ตลาดหุ้นวอลล์สตรีท แม้คณะกรรมาธิการยุโรป (EC) ซึ่งเป็นองค์กรบริหารของสหภาพยุโรป (EU) สั่งปรับบริษัททั้งสอง โดยอ้างว่าได้ละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาดตลาด ภายใต้กฎหมายควบคุมตลาดดิจิทัลของ EU (DMA)
ณ เวลา 20.48 น.ตามเวลาไทย ราคาหุ้นแอปเปิ้ล พุ่งขึ้น 3.62% สู่ระดับ 206.98 ดอลลาร์ ส่วนราคาหุ้นเมตา พุ่งขึ้น 6.85% สู่ระดับ 534.54 ดอลลาร์
ทั้งนี้ EC สั่งปรับบริษัทแอปเปิ้ลเป็นจำนวนเงิน 500 ล้านยูโร (571 ล้านดอลลาร์) หรือราว 19,000 ล้านบาท ส่วนบริษัทเมตาถูกปรับเป็นจำนวนเงิน 200 ล้านยูโร (228.4 ล้านดอลลาร์) หรือราว 7,600 ล้านบาท
EC ระบุว่า แอปเปิ้ลได้ละเมิดกฎหมาย DMA และจะต้องดำเนินการแก้ไข โดยอนุญาตให้ผู้ที่พัฒนาแอปพลิเคชั่นสามารถแจ้งลูกค้าโดยอิสระเกี่ยวกับข้อเสนออื่น ๆ ซึ่งเป็นทางเลือกที่ไม่ได้อยู่ใน App Store และแอปเปิ้ลจะต้องยกเลิกข้อจำกัดทางเทคนิคและเชิงพาณิชย์ รวมทั้งการกระทำที่ไม่สอดคล้องกับกฎระเบียบของ EC
นอกจากนี้ EC ระบุว่า เมตาได้กระทำผิดกฏหมายด้วยการกำหนดให้ผู้ใช้บริการเฟซบุ๊กและอินสตาแกรมจะต้องให้ความยินยอมในการแบ่งปันข้อมูลกับทางบริษัท มิฉะนั้นผู้ใช้บริการจะต้องจ่ายเงินเพื่อรับบริการแบบไม่มีโฆษณา
บริษัทแอปเปิ้ลออกแถลงการณ์ระบุว่า ทางบริษัทเตรียมยื่นอุทธรณ์ต่อคำสั่งปรับของ EC ดังกล่าว และจะยังคงทำการหารือกับ EC ต่อไป
"การประกาศในวันนี้ถือเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของ EC ในการพุ่งเป้าไปที่บริษัทแอปเปิ้ลอย่างไม่เป็นธรรม ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อการรักษาความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของลูกค้า ไม่เป็นผลดีต่อผลิตภัณฑ์ และเป็นการบีบบังคับให้เราต้องมอบเทคโนโลยีของเราให้เปล่า ๆ"
"เราได้ใช้เวลาฝ่ายวิศวกรรมหลายแสนชั่วโมง และดำเนินการเปลี่ยนแปลงหลายสิบครั้งเพื่อให้สอดคล้องตามกฎหมาย และแม้มีการประชุมกับ EC หลายครั้ง แต่พวกเขาก็มักจะเปลี่ยนแปลงเป้าหมายไปทุกครั้ง" แถลงการณ์ระบุ
ส่วนนายโจเอล แคปแลน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกิจการระดับโลกของเมตา ระบุในแถลงการณ์ว่า EC พยายามที่จะลดความได้เปรียบของธุรกิจอเมริกันที่ประสบความสำเร็จ ขณะที่ปล่อยให้บริษัทของจีนและยุโรปอยู่ภายใต้มาตรฐานที่แตกต่างออกไป
นอกจากนี้ คำสั่งปรับของ EC ต่อบริษัทแอปเปิ้ลและเมตาในวันนี้ มีความเสี่ยงที่จะถูกตอบโต้จากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ ซึ่งที่ผ่านมาได้แสดงออกอย่างเปิดเผยถึงความไม่พอใจต่อการที่ EU บังคับใช้กฎระเบียบต่อบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ของสหรัฐ
ทั้งนี้ ปธน.ทรัมป์ได้ประกาศเรียกเก็บภาษีศุลกากรต่อสินค้านำเข้าจาก EU ในอัตรา 20% ในช่วงต้นเดือนเม.ย. โดยอ้างว่าเพื่อตอบโต้ต่อมาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากร และมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่การเรียกเก็บภาษีศุลกากรของ EU