ยูโรร่วงลงแตะระดับ 1.3491 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันพฤหัสบดีที่ 1.3590 ดอลลาร์สหรัฐ เงินปอนด์อ่อนค่าลงแตะระดับ 1.5927 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.6053 ดอลลาร์สหรัฐ ดอลลาร์ออสเตรเลียอ่อนค่าลงแตะระดับ 0.9436 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.9457 ดอลลาร์สหรัฐ
ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 98.76 เยน จากระดับ 98.32 เยน แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ระดับ 0.9126 ฟรังค์ จากระดับ 0.9055 ฟรังค์ และแข็งค่าขึ้นแตะ 1.0428 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.0420
ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นในวันศุกร์ เนื่องจากข้อมูลภาคการผลิตที่แข็งแกร่งเหนือความคาดหมายได้สนับสนุนมุมมองบวกเกี่ยวกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ ก่อนที่ในสัปดาห์หน้าจะมีการเปิดเผยตัวเลขจ้างงานซึ่งเป็นที่จับตาของตลาด
กิจกรรมในภาคการผลิตของสหรัฐยังคงอยู่ที่ระดับสูงในเดือนต.ค. แม้หน่วยงานราชการต้องปิดทำการไปนาน 16 วัน อันเนื่องมาจากภาวะชะงักงันด้านการคลังอันเนื่องมาจากความขัดแย้งทางการเมืองในสหรัฐ โดยดัชนีภาคการผลิตของสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) ปรับตัวขึ้นสู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย.2554 ที่ระดับ 56.4 ในเดือนต.ค. จาก 56.2 ในเดือนก.ย.
ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งติดตามทิศทางค่าเงินดอลลาร์เทียบกับ 6 สกุลเงินหลัก ปรับตัวขึ้นประมาณ 0.7% แตะ 80.77 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ช่วงกลางเดือนก.ย
ขณะที่สกุลเงินยูโรร่วงลงต่อเนื่องจากวันก่อน หลังจากสำนักงานสถิติแห่งสหภาพยุโรป หรือยูโรสแตท รายงานในวันพฤหัสบดีว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เบื้องต้นเดือนต.ค.ของยูโรโซนลดลงมาอยู่ที่ระดับ 0.7% จากเดือนก.ย.ที่ระดับ 1.1% โดยดัชนี CPI เดือนต.ค.ถือเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 2554
ขณะเดียวกัน ยูโรสแตทยังได้เปิดเผยว่า อัตราว่างงานของยูโรโซนปรับตัวขึ้นสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 12.2%
การร่วงลงของดัชนี CPI ในเดือนต.ค.สะท้อนให้เห็นว่า ธนาคารกลางยุโรปมีโอกาสมากพอที่จะสามารถรักษาเสถียรภาพราคาในระยะกลางให้อยู่ในระดับเป้าหมายที่ 2% และอาจจะปูทางไปสู่การใช้มาตรการกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหากจำเป็น โดยการประชุมครั้งต่อไปของอีซีบีจะมีขึ้นในวันที่ 7 พ.ย.นี้