ยูโรแข็งค่าขึ้นแตะระดับ 1.3788 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.3763 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เงินปอนด์อ่อนค่าลงแตะระดับ 1.6382 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.6446 ดอลลาร์สหรัฐ และดอลลาร์ออสเตรเลียอ่อนค่าลงแตะระดับ 0.9067 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.9156 ดอลลาร์สหรัฐ
ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 102.56 เยน จากระดับ 102.77 เยน และอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ระดับ 0.8805 ฟรังค์ จากระดับ 0.8872 ฟรังค์
สกุลเงินยูโรแข็งค่าขึ้นหลังจากอัตราดอกเบี้ยข้ามคืนในตลาดเงินของยูโรโซนปรับตัวขึ้นในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา เนื่องจากธนาคารพาณิชย์สามารถชำระเงินกู้คืนให้กับธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) หลังจากที่เผชิญวิกฤตหนี้สิน นอกจากนี้ ยูโรยังได้รับแรงหนุนจากการที่อีซีบียังไม่ใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในการประชุมครั้งล่าสุด
สกุลเงินยูโรได้รับแรงหนุนมากขึ้นหลังจากสำนักงานสถิติเยอรมนีเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนพ.ย.เพิ่มขึ้น 1.3% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งสูงกว่าระดับ 1.2% ในเดือนต.ค. และเมื่อเทียบเป็นรายเดือนแล้ว ราคาผู้บริโภคในเยอรมนีเพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนพ.ย.
ส่วนสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงแม้ว่าผู้นำการเจรจางบประมาณในสภาคองเกรสสหรัฐได้บรรลุข้อตกลงเพื่อหลีกเลี่ยงการปิดหน่วยงานของรัฐบาลกลางสหรัฐในวันที่ 15 ม.ค.แล้ว โดยข้อตกลงดังกล่าวจะกำหนดระดับการใช้จ่ายสำหรับรัฐบาลกลางในอีก 2 ปีข้างหน้า และจะยุติมาตรการลดรายจ่ายโดยอัตโนมัติ หรือที่เรียกว่า sequester บางส่วน ในอีก 2 ปีข้างหน้าเช่นกัน
ทั้งนี้ คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของเฟด มีกำหนดประชุมในวันอังคารและพุธหน้า ซึ่งตลาดกำลังรอดูว่าเฟดจะเริ่มปรับลดการซื้อสินทรัพย์รายเดือนลงเมื่อใด
นักลงทุนจับตาดูกระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะเปิดเผยยอดค้าปลีกเดือนพ.ย.ในวันนี้เวลา 20.30 น.ตามเวลาไทย ซึ่งนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่ายอดค้าปลีกเดือนพ.ย.จะเพิ่มขึ้น 0.6% หลังจากที่เพิ่มขึ้น 0.4%
ด้านกระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 7 ธ.ค. ในเวลา 20.30 น.ตามเวลาไทย ซึ่งนักวิเคราะห์คาดว่าจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานจะเพิ่มขึ้นแตะระดับ 320,000 ราย จากสัปดาห์ก่อนหน้าที่ระดับ 298,000 ราย