ค่าเงินยูโรร่วงลงเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 1.3651 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.3678 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์ปรับตัวลงที่ 1.6864 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.6895 ดอลลาร์สหรัฐ
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐปรับขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 101.80 เยน จากระดับ 101.40 เยน และขยับขึ้นเมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ระดับ 0.8948 ฟรังค์ จากระดับ 0.8938 ฟรังค์
ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียปรับลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 0.9217 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.9235 ดอลลาร์สหรัฐ
ดอลลาร์สหรัฐได้รับแรงหนุน หลังจากมาร์กิต ซึ่งเป็นผู้ให้บริการข้อมูลการเงินของสหรัฐ เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเบื้องต้นเดือนพ.ค.ของสหรัฐ ขยายตัวขึ้นสู่ระดับ 56.2 จากเดือนเม.ย.ที่ระดับ 55.4 ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะขยายตัวที่ระดับ 55.5 โดยดัชนีที่เคลื่อนไหวเหนือระดับ 50 บ่งชี้ว่าภาคการผลิตมีการขยายตัว
ขณะเดียวกัน สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่า ยอดขายบ้านมือสองเดือนเม.ย.ของสหรัฐ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.3% แตะระดับ 4.65 ล้านยูนิต ซึ่งนับเป็นเดือนที่ 2 ในรอบ 9 เดือนที่ยอดขายบ้านมือสองปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่ตัวเลขดังกล่าวยังน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 4.68 ล้านยูนิต เนื่องจากราคาบ้านที่อยู่ในระดับสูงและต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้นนั้น ทำให้กลุ่มผู้ซื้อบ้านพากันชะลอการซื้อ
ส่วนข้อมูลด้านการจ้างงานออกมาไม่ค่อยสดใสนัก กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 17 พ.ค.ปรับตัวเพิ่มขึ้น 28,000 ราย แตะที่ 326,000 ราย ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 310,000 ราย
เงินยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากผลสำรวจของมาร์กิตแสดงให้เห็นว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) เบื้องต้นของยูโรโซนในเดือนพ.ค.ลดลงแตะ 53.9 ซึ่งต่ำสุดในรอบ 2 เดือน จาก 54.0 ในเดือนเม.ย. แต่การร่วงลงของยูโรได้ถูกสกัดไว้ด้วยข้อมูลที่ว่าดัชนี PMI เบื้องต้นของเยอรมนียังคงมีแนวโน้มขยายตัวอย่างสดใส