ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 17,573.93 จุด เพิ่มขึ้น 19.46 จุด หรือ +0.11% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 4,632.53 จุด ลดลง 5.94 จุด หรือ -0.13% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,031.92 จุด เพิ่มขึ้น 0.71 จุด หรือ +0.03%
ตลาดหุ้นสหรัฐเคลื่อนไหวอย่างผันผวน เนื่องจากเทรดเดอร์บางส่วนเริ่มกังวลว่าตลาดได้รับแรงซื้อที่สูงเกินไป ในขณะที่ยังมีกระแสความกังวลเกี่ยวกับการขยายตัวของเศรษฐกิจต่างประเทศที่ชะลอตัวลง
อย่างไรก็ดี ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์และดัชนี S&P 500 ต่างทำสถิติระดับปิดสูงสุดติดต่อกันเป็นวันที่ 3 หลังจากที่กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ยอดจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐในเดือนต.ค.เพิ่มขึ้น 214,000 ราย ซึ่งเป็นตัวเลขที่ต่ำกว่าการคาดการณ์ ขณะที่อัตราว่างงานในเดือนต.ค.ร่วงลง 0.1% จากระดับเดือนก.ย. มาอยู่ที่ 5.8% ซึ่งอัตราว่างงานดังกล่าวร่วงลงมาอยู่ที่ระดับต่ำสุดในรอบ 6 ปี
นางเจเน็ต เยลเลน ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าววานนี้ว่า "เมื่อประเมินจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่เป็นไปอย่างเชื่องช้าและไม่มั่นคงเป็นธรรมดา นโยบายสนับสนุนจึงยังมีความจำเป็น" โดยเธอไม่ได้เปิดเผยว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเมื่อใด
ประธานเฟดกล่าวว่า การปรับนโยบายสู่สภาพปกตินั้น "อาจก่อให้เกิดความผันผวนทางการเงินที่สูงขึ้น" แต่เฟดจะพยายามสื่อสารยุทธศาสตร์นโยบายการเงินให้ชัดเจนและทะลุปรุโปร่งเพื่อลดความตกใจ ซึ่งหากเกิดขึ้นอาจจะทำให้ตลาดการเงินชะงักทั้งในและต่างประเทศ
ทั้งนี้ แถลงการณ์ของนางเยลเลนมีขึ้น หลังจากนายมาริโอ ดรากิ ประธานธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) กล่าวว่า อีซีบีจะเริ่มซื้อหลักทรัพย์ที่มีสินทรัพย์ค้ำประกัน (Asset-backed Securities : ABS) ในเร็วๆนี้ ภายใต้โครงการซึ่งจะดำเนินต่อไปเป็นระยะเวลาอย่างน้อยสองปี โดยการซื้อสินทรัพย์ และการปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำระยะยาว (Targeted LTRO) จะส่งผลอย่างมากต่องบดุลของอีซีบี
หุ้นดิสนีย์ร่วง 2.2% หลังบริษัทเปิดเผยว่า รายได้จากการทำสถานีโทรทัศน์ ซึ่งเป็นแผนกใหญ่ที่สุดของบริษัทปรับตัวลง หุ้นซาลิกซ์ ซึ่งเป็นบริษัทเภสัชกรรม ร่วง 34% หลังเจ้าหน้าที่การเงินสูงสุดของบริษัทลาออก หุ้นเฟิร์สต โซลาร์ ร่วง 11% หลังบริษัททำกำไรลดลงในไตรมาส 3