ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 1.1612 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.1778 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์ลดลงที่ 1.5188 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.5220 ดอลลาร์
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐปรับลงเทียบกับสกุลเงินเยนที่ 116.52 เยน เทียบกับระดับ 117.30 เยน และร่วงลงเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิสที่ระดับ 0.8724 ฟรังก์ จาก 1.0197 ฟรังก์
ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียปรับขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 0.8224 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.8148 ดอลลาร์
เงินฟรังก์สวิสพุ่งขึ้นเมื่อเทียบยูโรและดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ (SNB) ได้สร้างความประหลาดใจแก่ตลาดด้วยการประกาศยกแลิกเพดานการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนฟรังก์สวิสเมื่อเทียบกับยูโรที่ 1.20 ฟรังก์สวิส รวมทั้งได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงสู่ระดับ -0.75% จาก -0.25%
บรรดานักวิเคราะห์กล่าวว่าการดำเนินการของ SNB แสดงให้เห็นถึงการขาดความเชื่อมั่นต่อสกุลเงินยูโร และได้หนุนกระแสคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางยุโรปจะประกาศแผนการซื้อพันธบัตรในระหว่างการประชุมกำหนดนโยบายที่มีกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 22 ม.ค.นี้ ซึ่งเป็นความพยายามที่จะจัดการกับภาวะเงินฝืด
ส่วนดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบยูโรและเงินเยน โดยได้รับแรงกดดันจากข้อมูลเศรษฐกิจที่ซบเซา หลังกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งใหม่เพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่ต้นเดือนก.ย.2557 ในสัปดาห์ที่แล้ว โดยตัวเลขเพิ่มขึ้น 19,000 ราย สู่ระดับ 316,000 รายในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 10 ม.ค. ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ระดับ 291,000 ราย
ขณะเดียวกัน กระทรวงรายงานว่าดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ปรับตัวลงมากที่สุดในรอบเกือบ 3 ปีในเดือนธ.ค. จากการดิ่งลงของราคาพลังงาน โดยดัชนี PPI สำหรับอุปสงค์ขั้นสุดท้ายร่วงลง 0.3% ในเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นการปรับตัวลงมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนต.ค.2554 หลังจากลดลง 0.2% ในเดือนพ.ย.
เมื่อเทียบรายปี ดัชนี PPI เพิ่มขึ้น 1.1% ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นน้อยที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.2556 หลังจากเพิ่มขึ้น 1.4% ในเดือนพ.ย.
นักวิเคราะห์มองว่าดัชนี PPI ล่าสุดแสดงให้เห็นว่าแรงกดดันด้านเงินเฟ้อในระดับผู้ผลิตยังคงอ่อนแรง ซึ่งจะทำให้มีความเป็นไปได้มากขึ้นที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะคงอัตราดอกเบี้ยต่ำเช่นในปัจจุบันไว้ต่อไป