ยูโรร่วงลงแตะระดับ 1.1587 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันพฤหัสบดีที่ 1.1612 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เงินปอนด์อ่อนค่าลงแตะระดับ 1.5171 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.5188 ดอลลาร์สหรัฐ และดอลลาร์ออสเตรเลียแข็งค่าขึ้นแตะระดับ 0.8238 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.8224 ดอลลาร์สหรัฐ
ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 117.45 เยน จากระดับ 116.52 เยน อย่างไรก็ตาม ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิสที่ระดับ 0.8543 ฟรังก์ จากระดับ 0.8724 ฟรังก์ และอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดาที่ระดับ 1.1962 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.1969 ดอลลาร์แคนาดา
สกุลเงินยูโรอ่อนค่าลงเนื่องจากกระแสคาดการณ์ที่ว่า อีซีบีอาจจะประกาศใช้มาตรการ QE ในการประชุมสัปดาห์หน้า หลังจากธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ประกาศยกเลิกเพดานการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนฟรังก์สวิสเมื่อเทียบกับยูโรที่ 1.20 ฟรังก์สวิส พร้อมลดอัตราดอกเบี้ยลงสู่ระดับ -0.75% จาก -0.25% โดยมีเป้าหมายที่จะควบคุมค่าเงินฟรังก์สวิสไม่ให้แข็งค่ามากเกินไปเมื่อเทียบกับยูโร รวมทั้งไม่ให้เศรษฐกิจของประเทศถดถอย และตกอยู่ในภาวะเงินฝืด
กระแสคาดการณ์ดังกล่าวถือเป็นการสนับสนุนการส่งสัญญาณของนายมาริโอ ดรากี ประธานอีซีบีเมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมาว่า อีซีบีอาจจะใช้มาตรการ QE ครั้งใหญ่ โดยนายดรากีกล่าวให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ Handelsblatt ของเยอรมนีว่า อีซีบีไม่สามารถมองข้ามความเสี่ยงจากภาวะเงินฝืดในยูโรโซน และยังกล่าวด้วยว่าความเสี่ยงที่อีซีบีจะไม่สามารถรักษาเสถียรภาพด้านราคาเอาไว้ได้นั้น มีสูงกว่าเมื่อ 6 เดือนก่อน ทำให้อีซีบีต้องเตรียมพร้อมในการปรับวงเงินในมาตรการ QE ในช่วงต้นปี 2558 หากมีความจำเป็น
ส่วนสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเพราะได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยออกไป หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ร่วงลง 0.4% ในเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นการลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค. 2551