ค่าเงินยูโรแข็งค่าเมื่อเทียบดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 1.1490 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.1346 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์เพิ่มขึ้นที่ 1.5165 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.5037 ดอลลาร์
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐปรับขึ้นเทียบกับสกุลเงินเยนที่ 117.56 เยน เทียบกับระดับ 117.23 เยน และลดลงเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิสที่ระดับ 0.9224 ฟรังก์ จาก 0.9283 ฟรังก์
ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียปรับขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 0.7808 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7805 ดอลลาร์
นายยานิส วารูเฟกิส รมว.คลังของกรีซกล่าวที่กรุงลอนดอนว่า รัฐบาลใหม่ของกรีซจะไม่ขอให้เจ้าหนี้ลดมูลค่าหนี้ลง แต่จะเสนอทางเลือกอื่นๆ ซึ่งรวมถึงการสว็อปพันธบัตรกับฝ่ายเจ้าหนี้ โดยจะแลกเปลี่ยนพันธบัตรของรัฐบาลกรีซที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) และรัฐบาลประเทศอื่นๆถือครองอยู่นั้น ให้เป็นพันธบัตรที่มีผลตอบแทนอิงกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และพันธบัตรประเภท Perpetual bonds ซึ่งจะจ่ายดอกเบี้ยเมื่อมีผลกำไร และไม่มีการสะสมดอกเบี้ยจ่าย
ความคิดเห็นของรัฐมนตรีคลังกรีซได้ช่วยผ่อนคลายความกังวลของตลาดเกี่ยวกับความไร้เสถียรภาพในยูโรโซน และหลังจากนั้น ค่าเงินยูโรก็ได้พุ่งขึ้น 1.26% เมื่อเทียบดอลลาร์สหรัฐ
ทางด้านดอลลาร์สหรัฐได้อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักส่วนใหญ่ โดยมีแรงกดดันจากข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอ หลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานของสหรัฐลดลงเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกันในเดือนธ.ค. โดยลดลง 3.4% ขณะที่อุปสงค์ร่วงลงในวงกว้างในภาคอุตสาหกรรม หลังจากที่ลดลง 1.7% ในเดือนพ.ย.
ก่อนหน้านี้ นักวิเคราะห์คาดว่า ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานจะลดลง 2.2% ในเดือนธ.ค.