ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 1.0699 ดอลลาร์สหรัฐ จาก 1.0858 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เงินปอนด์ลดลงที่ 1.5073 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.5131 ดอลลาร์สหรัฐ
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐปรับลงเทียบกับสกุลเงินเยนที่ 121.10 เยน เทียบกับระดับ 121.18 เยน และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิสที่ระดับ 0.9988 ฟรังก์ จาก 0.9849 ฟรังก์
ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียปรับลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 0.7617 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7713 ดอลลาร์
ดอลลาร์สหรัฐได้รับแรงหนุนจากกระแสคาดการณ์เกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด หลังจากที่ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐในเดือนก.พ.ออกมาดีกว่าที่คาดและแสดงให้เห็นถึงการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของตลาดแรงงาน
ทั้งนี้ เฟดได้คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับต่ำใกล้ 0% มาเป็นเวลาเกือบ 7 ปีแล้ว เพื่อหนุนภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐ
ทางด้านนายริชาร์ด ฟิชเชอร์ ประธานเฟดสาขาดัลลัส กล่าวเมื่อวันจันทร์ว่า เฟดควรเริ่มปรับขึ้นดอกเบี้ย ก่อนที่เศรษฐกิจจะอยู่ในภาวะที่มีการจ้างงานอย่างเต็มที่ เพื่อเลี่ยงสาเหตุที่จะทำให้เกิดภาวะถดถอย
ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นมาตรวัดการปรับตัวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับ 6 สกุลเงินหลักนั้น ปรับตัวขึ้น 0.32% แตะ 94.559 ในการซื้อขายช่วงท้ายของวัน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.ย.2546
ขณะเดียวกัน สกุลเงินยูโรร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 12 ปีเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ท่ามกลางมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ที่เพิ่งเริ่มขึ้นของธนาคารกลางยุโรป (ECB) และความวิตกที่เพิ่มมากขึ้นเกี่ยวกับประเด็นหนี้สินของกรีซ
นายเจอโรน ดิจเซลโบลม ประธานยูโรกรุ๊ป กล่าวเมื่อวานนี้ว่า กรีซจะต้องรีบดำเนินการตามเงื่อนไขในข้อตกลงเงินกู้ มิฉะนั้น ตลาดการเงินจะสูญเสียความเชื่อมั่นต่อประเทศ
ภายใต้ข้อตกลงที่มีขึ้นเมื่อเดือนที่แล้ว มาตรการช่วยเหลือระยะเวลา 4 ปีสำหรับกรีซ ซึ่งได้สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 28 ก.พ.นั้น ได้รับการขยายระยะเวลาออกไปอีก 4 เดือน ซึ่งทำให้กรีซและบรรดาเจ้าหนี้มีเวลามากขึ้นที่จะบรรลุข้อตกลงขั้นสุดท้ายในการคลี่คลายวิกฤติหนี้กรีซ