ค่าเงินยูโรแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 1.0958 ดอลลาร์สหรัฐ จาก 1.0925 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เงินปอนด์เพิ่มขึ้นที่ 1.4865 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.4846 ดอลลาร์สหรัฐ
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐปรับลงเทียบกับสกุลเงินเยนที่ 119.63 เยน เทียบกับระดับ 119.66 เยน และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิสที่ระดับ 0.9616 ฟรังก์ จาก 0.9576 ฟรังก์
ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียปรับลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 0.7836 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7870 ดอลลาร์
ดอลลาร์สหรัฐอ่อนแรงลง หลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐดิ่งลงในเดือนก.พ. ซึ่งส่งสัญญาณว่า ภาคธุรกิจยังคงมีความระมัดระวังในการใช้จ่าย ท่ามกลางภาวะอุปสงค์โลกที่ซบเซา
รายงานระบุว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน เช่น เครื่องบิน รถยนต์ และเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไปร่วงลง 1.4% ในเดือนก.พ. เมื่อเทียบกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนดังกล่าว
หากไม่รวมหมวดการขนส่งซึ่งมีความผันผวน ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนลดลง 0.4% ในเดือนก.พ. โดยเป็นการร่วงลงเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกัน
นักวิเคราะห์มองว่า อุปสงค์จากต่างประเทศที่อ่อนแรง การแข่งขันที่ดุเดือดจากการนำเข้าที่มีต้นทุนถูกกว่า และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ลดลง จะยังคงส่งผลกระทบต่อกลุ่มผู้ผลิตภายในประเทศในช่วงอนาคตอันใกล้นี้
ทางด้านสกุลเงินยูโรแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากข้อมูลที่สดใสจากเยอรมนีแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจของเยอรมนี ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในยุโรป ได้ฟื้นตัวขึ้นอย่างมากในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้
สถาบัน Ifo ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยเศรษฐกิจของเยอรมนี เปิดเผยเมื่อวานนี้ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจของเยอรมนีในเดือนมี.ค.เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 107.9 จาก 106.8 ในเดือนก.พ. โดยเป็นการปรับตัวขึ้นเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกัน และทำสถิติสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.ค.2557