ค่าเงินยูโรอ่อนค่าเมื่อเทียบดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 1.1252 ดอลลาร์สหรัฐ จาก 1.1273 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เงินปอนด์เพิ่มขึ้นที่ 1.5317 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.5232 ดอลลาร์สหรัฐ
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐปรับตัวลงเทียบกับสกุลเงินเยนที่ 119.92 เยน จาก 120.27 เยน และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิสที่ระดับ 0.9728 ฟรังก์ จาก 0.9670 ฟรังก์
ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียปรับขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 0.7205 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7153 ดอลลาร์
ดอลลาร์ปรับตัวแข็งแกร่งเมื่อเทียบสกุลเงินยูโร โดยยูโรได้รับแรงกดดันหลังจากกระทรวงเศรษฐกิจของเยอรมนีรายงานเมื่อวานนี้ว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนส.ค. ร่วงลง 1.2% ซึ่งลดลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะขยับลงเพียง 0.1% เนื่องจากผลผลิตสินค้าประเภททุนปรับตัวลดลงอย่างหนัก
การร่วงลงของผลผลิตภาคอุตสาหกรรมในเดือนส.ค.ถือเป็นอีกสัญญาณหนึ่งที่บ่งชี้ว่า ภาคอุตสาหกรรมของเยอรมนีกำลังขาดแรงขับเคลื่อน นอกจากนี้ ยังสะท้อนให้เห็นว่าการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของจีนและภาวะถดถอยในตลาดของกลุ่มประเทศกำลังพัฒนานั้น กำลังเริ่มส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจเยอรมนี
ขณะเดียวกัน ดอลลาร์ปรับลดลงเมื่อเทียบสกุลเงินเยน เนื่องจากธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ไม่ได้ส่งสัญญาณผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติม หลังการประชุมเป็นเวลา 2 วันที่เสร็จสิ้นเมื่อวานนี้ โดย BOJ มีมติคงนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายพิเศษ และได้คงระดับการประเมินเศรษฐกิจ พร้อมระบุว่า "เศรษฐกิจฟื้นตัวปานกลาง" แม้แนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อยังคงซบเซาอยู่ก็ตาม
ทั้งนี้ ดอลลาร์สหรัฐยังคงเผชิญแรงกดดัน เนื่องจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจโลกในปีนี้และปีหน้า ซึ่งทำให้ตลาดวิตกว่าธนาคารกลางสหรัฐอาจชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยออกไปเป็นช่วงปีหน้า จากเดิมที่ประเมินกันไว้ภายในปีนี้