ค่าเงินยูโรอ่อนค่าเมื่อเทียบดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 1.1326 ดอลลาร์สหรัฐ จาก 1.1374 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เงินปอนด์เพิ่มขึ้นที่ 1.5467 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.5452 ดอลลาร์สหรัฐ
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐปรับตัวขึ้นเทียบกับสกุลเงินเยนที่ 119.43 เยน จาก 119.40 เยน และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิสที่ระดับ 0.9560 ฟรังก์ จาก 0.9516 ฟรังก์
ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียปรับลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 0.7252 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7278 ดอลลาร์
ยูโรได้รับแรงกดดันจากกระแสคาดการณ์ที่ว่าเจ้าหน้าที่กำหนดนโยบายการเงินของ ECB จะส่งสัญญาณผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมในการประชุมนโยบายการเงินในสัปดาห์นี้
ทางด้านนายมาริโอ ดรากี ประธาน ECB กล่าวเมื่อต้นเดือนนี้ว่า สหภาพยโรป (EU) กำลังเผชิญความเสี่ยงช่วงขาลงที่รุนแรง พร้อมกับเตือนว่าหากปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้ยังคงดำเนินต่อไป ยูโรโซนอาจต้องมีการปรับนโยบายผ่อนคลายเชิงปริมาณเพื่อรับมือกับภาวการณ์ดังกล่าว
ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์คาดว่ามีความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ผ่อนคลายนโยบายการเงินมากขึ้นในเดือนนี้ โดย BOJ มีกำหนดจัดการประชุมนโยบายการเงินในวันที่ 30 ต.ค.นี้
ตลาดเชื่อว่าจะมีการส่งสัญญาณผ่อนคลายเพิ่มเติมทั้งในการประชุม ECB และ BOJ ซึ่งช่วยหนุนให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบยูโรและเยน
นอกจากนี้ ดอลลาร์ยังปรับตัวแข็งแกร่ง หลังจากสมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติ (NAHB) ของสหรัฐเปิดเผยเมื่อคืนนี้ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้สร้างบ้านพุ่งขึ้นในเดือนต.ค. แตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค.2548 โดยดัชนีอยู่ที่ระดับ 64 ในเดือนต.ค. สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 62
ดัชนีที่ทะยานขึ้นดังกล่าว ได้รับแรงหนุนจากการจ้างงานที่เพิ่มขึ้น และอัตราเงินกู้จำนองที่ระดับต่ำ
นักลงทุนคาดว่าข้อมูลที่บ่งชี้ถึงภาวะเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐจะช่วยสนับสนุนการตัดสินใจของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในการเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งจะส่งผลดีต่อดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจะช่วยให้ดอลลาร์มีความน่าดึงดูดใจมากขึ้นสำหรับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนสูง