ค่าเงินยูโรแข็งค่าเมื่อเทียบดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 1.0901 ดอลลาร์สหรัฐ จาก 1.0829 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เงินปอนด์เพิ่มขึ้นที่ 1.4438 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.4239 ดอลลาร์สหรัฐ
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐปรับตัวลงเทียบกับสกุลเงินเยนที่ 121.09 เยน จาก 121.17 เยน และลดลงเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิสที่ระดับ 1.0187 ฟรังก์ จาก 1.0238 ฟรังก์
ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียปรับขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 0.7101 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7079 ดอลลาร์
ดอลลาร์สหรัฐได้รับแรงกดดัน หลังจากผลสำรวจของสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) พบว่า ภาคการผลิตของสหรัฐหดตัวลงเป็นเดือนที่ 4 ในเดือนม.ค. โดยได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่อ่อนแอ และการแข็งค่าของดอลลาร์
ทั้งนี้ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของ ISM ขยับขึ้นสู่ระดับ 48.2 ในเดือนม.ค. จากระดับ 48 ในเดือนธ.ค. แต่ดัชนี PMI อยู่ต่ำกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ถึงการหดตัว
ทางด้านนายสแตนลีย์ ฟิสเชอร์ รองประธานเฟด กล่าวเมื่อวานนี้ว่า ความปั่นป่วนของตลาดการเงินทั่วโลกในช่วงที่ผ่านมาอาจจะส่งผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐ
เขากล่าวว่า หากสถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ภาวะทางการเงินตึงตัวต่อเนื่อง ก็อาจจะส่งสัญญาณถึงเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อการขยายตัวและเงินเฟ้อในสหรัฐ
ความเห็นของนายฟิสเชอร์ทำให้มีความวิตกว่าเฟดอาจจะไม่สามารถปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้อย่างรวดเร็วตามที่คาดการณ์ไว้ในปีนี้
นักวิเคราะห์มองว่าข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอ ประกอบกับถ้อยแถลงของรองประธานเฟด ได้ตอกย้ำการคาดการณ์ของนักลงทุนที่ว่าเฟดจะต้องชะลอการปรับขึ้นดอกเบี้ยออกไป ซึ่งส่งผลให้ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง