ค่าเงินยูโรแข็งค่าเมื่อเทียบดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 1.1012 ดอลลาร์สหรัฐ จาก 1.0995 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เงินปอนด์เพิ่มขึ้นที่ 1.4261 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.4213 ดอลลาร์สหรัฐ
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐปรับตัวลงเทียบกับสกุลเงินเยนที่ 113.28 เยน จาก 114.03 เยน แต่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิสที่ระดับ 0.9952 ฟรังก์ จาก 0.9950 ฟรังก์
ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียปรับขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 0.7470 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7426 ดอลลาร์
ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงติดต่อกันหลายวันทำการ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าผิดหวังของสหรัฐ รวมถึงตัวเลขการขาดดุลการค้าของสหรัฐเพิ่มขึ้น 2.2% ในเดือนม.ค. สู่ระดับ 4.57 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่การส่งออกสินค้าร่วงลง 3.3% สู่ระดับ 1.169 แสนล้านดอลลาร์
สำหรับปัจจัยล่าสุดที่กดดันให้ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับยูโรนั้น มาจากราคาน้ำมันที่ดีดตัวขึ้น ซึ่งส่งผลให้นักลงทุนเข้าซื้อสินทรัพย์เสี่ยงที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า ซึ่งรวมถึงสกุลเงินยูโร โดยเมื่อคืนนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI พุ่งขึ้นกว่า 5% หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ระบุว่า การผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐ ปรับตัวลดลง 25,000 บาร์เรล สู่ระดับ 9.077 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว
นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ รวมถึงสต็อกสินค้าและยอดค้าส่งเดือนม.ค., สต็อกน้ำมันรายสัปดาห์จากสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA), จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์ และดุลงบประมาณของรัฐบาลกลางสหรัฐเดือนก.พ. และราคาส่งออกและนำเข้าเดือนก.พ.